ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริการายงานว่า ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีคนลาออกจากงาน 4.2 ล้านคน ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมของสหรัฐอเมริกาก็พุ่งขึ้นถึง 6% ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1990
คนทำงานกลุ่มที่มีการย้ายงานมากเป็นอันดับต้น ๆ คือคนที่ทำงานในสายเทคโนโลยี ซึ่งเป็นที่ต้องการของบริษัทจำนวนมาก ส่วนเหตุผลในการย้ายงานมีตั้งแต่การย้ายเพื่อเพิ่มเงินเดือน หรือไม่ก็ย้ายงานเพื่อไปทำในบริษัทที่ Work From Anywhere ได้
อย่างไรก็ดี รายงานจาก CNBC มองว่า ดูเหมือนจะมีหนึ่งบริษัทที่มองข้ามเรื่องดังกล่าว นั่นก็คือ กูเกิล โดยในการประชุมของกูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่สายเทคเมื่อวันอังคารที่ 7 ธันวาคม Frank Wagner รองประธานของกูเกิลที่ดูแลเรื่องค่าตอบแทน ได้พูดถึงเรื่องของการขึ้นเงินเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อว่า กูเกิลจะไม่ปรับเงินเดือนพนักงานเพื่อสิ่งนั้น ตรงกันข้าม สิ่งที่กูเกิลจะทำคือการปรับเงินเดือนตามประสิทธิภาพในการทำงาน
พร้อมกันนี้ บริษัทจะมีการส่งเอกสารให้กับผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้แจ้งต่อพนักงานว่าพวกเขาจะมีเกณฑ์ในการปรับค่าตอบแทนปีหน้าอย่างไรบ้าง
บริษัทยังบอกด้วยว่า นอกจากเงินเดือนแล้ว สิ่งที่กูเกิลให้กับพนักงานยังมีเรื่องของโบนัสและหุ้นด้วย ซึ่งในปีที่ผ่านมา รายได้ของกูเกิลก็เติบโตอย่างมาก รวมถึงมูลค่าหุ้นด้วย (รายได้จากค่าโฆษณาของกูเกิลเพิ่มขึ้น 43% แตะ 53,100 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 3 และมูลค่าหุ้นในปีนี้ของกูเกิลก็เติบโตขึ้นถึง 68%) ซึ่งนี่น่าจะเป็นสิ่งจูงใจที่ดีกว่าการขึ้นเงินเดือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามอัตราเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ กูเกิลยังเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายแรก ๆ ที่ประกาศให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศ (แม้จะมีการขยับจากเดิมที่จะให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศในเดือนมกราคมก็ตาม) ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีรายอื่น ๆ เช่น กรณีของ Salesforce หรือ Twitter ที่อนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ตลอดไป หรือ Lyft ก็บอกว่า จะไม่บังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศจนถึงปี 2023 เป็นอย่างน้อย
ปัจจุบัน อัลฟาเบ็ท (Alphabet) บริษัทแม่ของกูเกิลมีพนักงานฟูลไทม์มากกว่า 150,000 คนทั่วโลก ซึ่งหลังจากนี้อาจต้องติดตามว่า ตัวเลขพนักงานของกูเกิลจะอยู่ที่เท่าไร เพราะก็ไม่แน่เหมือนกันว่านโยบายนี้จะยังสามารถดึงใจคนทำงานในยุคหลัง Covid-19 ที่อยากทำงานจากที่ไหนก็ได้อยู่หรือเปล่า