“ประเทศไทย” นอกจากจะเป็นประเทศในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลกแล้ว “การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์” หรือ “Medical Tourism” ยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับไทยไม่แพ้กัน จากการสำรวจพบว่า ในปี 2562 ตลาด Medical Tourism มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทย 3.6 ล้านคน และสร้างรายได้การท่องเที่ยว 2.35 หมื่นล้านบาท กระทั่งโควิด-19 ระบาด ตลาดก็เริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้เหมือนเดิม ประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศในภูมิภาคที่หันมาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์มากขึ้น
ดังนั้น หากไทยต้องการจะก้าวสู่แถวหน้าด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อย่างยั่งยืน คงจะทำแบบเดิมๆ ไม่ได้อีกแล้ว จากเวทีสัมมนา Academic Endocrine Weekend 2021 ซึ่งจัดโดยสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย “กสิกรไทย” ได้แนะ 4 ปัจจัยที่ต้องเร่งปรับตัวเพื่อพาไทยก้าวสู่การเป็น Medical Hub หลังโควิด-19
3 ปัจจัยท้าทายของ Medical Hub ไทย
ก่อนโลกจะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หนึ่งในรายได้หลักของประเทศไทยที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องคือ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยเพื่อรักษาโรค ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว โดย คุณพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า ในปี 2560 นักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มาไทย คิดเป็น 38% ของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั้งหมดในเอเชีย แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เริ่มชะลอตัวลง แม้กระทั่งก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจาก 13 % ในปี 2560 เหลือเพียง 0.3 % ในปี 2562
สำหรับปัจจัยที่ทำให้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในไทยชะลอตัวลงนั้น มาจาก 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1.ปัญหาด้านโครงสร้างที่ไทยมุ่งเน้นการรักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนและเน้นจุดเด่นด้านการบริการมากกว่าการใช้เทคโนโลยีและการรักษาที่อาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอยู่อย่างจำกัด และจะเพิ่มได้ไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการภายในประเทศที่จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากปัญหาสังคมสูงวัย รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการนำเข้ายาและเวชภัณฑ์ ซึ่งในปี 2563 พบว่า ไทยนำเข้ายาและเวชภัณฑ์มูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 70% ของค่าใช้จ่ายด้านยาและเวชภัณฑ์ทั้งหมด ทำให้สูญเสียโอกาสในการนำงบประมาณเหล่านี้ไปทำการวิจัยและพัฒนาคิดค้นยาที่เป็นนวัตกรรมของคนไทยเอง
2.การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวโดยรวม และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคาดการณ์ว่า ปี 2567 หรือใช้เวลาอีกประมาณ 4 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ จึงจะฟื้นตัวกลับไปสู่ภาวะปกติที่ 1.2-1.3 ล้านคนต่อปี
3.การแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศในภูมิภาค เมื่อเทียบกับประเทศที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ให้เป็นอุตสาหกรรมดาวเด่น อาทิ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย พบว่าจุดแข็งของไทยอยู่ที่ต้นทุนค่ารักษาพยาบาล ซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ และเมื่อเทียบกับการรักษาที่สหรัฐอเมริกา ประเทศไทยจะประหยัดกว่า 82 % นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยยังอยู่ในแนวหน้าของเอเชีย โดยตอนนี้ มีสถานพยาบาลที่ได้ผ่านมาตรฐานสถาบัน JCI (Joint Commission International) กว่า 66 แห่ง อย่างไรก็ดี ประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซีย เริ่มเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของไทยอย่างประเทศแถบตะวันออกกลาง ได้เริ่มมีการลงทุนสร้างศูนย์การแพทย์ที่ครบวงจร อาทิ Dubai Health Care City (DHCC) เพื่อรองรับความต้องการภายในภูมิภาคตะวันออกกลางอีกด้วย
4 ปัจจัย ดันไทยสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงการแพทย์โลก
จากความท้าทายดังกล่าวที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยจะต้องผันตัวเองจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เน้น “ปริมาณ” ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มี “ความยั่งยืน” โดยเน้นคุณภาพ ความชำนาญเฉพาะทาง และเทคโนโลยี เพื่อเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ขณะเดียวกันยังเพิ่มศักยภาพทางการแพทย์ของประเทศ รองรับสังคมสูงวัยของประเทศไทย และลดค่าใช้จ่ายด้านการสาธารณสุขให้แก่ภาครัฐ
โดยคุณพิพิธ แนะว่า การยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับโลก (World-Class Medical Hub) มี 4 เรื่องสำคัญที่ไทยต้องเร่งทำ ประกอบด้วย
เรื่องแรก การส่งเสริมระบบนิเวศน์ของเฮลธ์ เทค ให้เกิดขึ้น (Health Tech Ecosystem)
1.การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการและเกิดการใช้งานจริง ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการแพทย์เข้าสู่รูปแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น สะท้อนได้จากการบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่มีมากขึ้นในช่วงโควิด-19 สามารถช่วยให้คนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ ลดภาระให้แก่ระบบสาธารณะสุขที่กำลังจะต้องแบกรับภาระสังคมสูงวัยอีกด้วย ตัวอย่างเฮลธ์ เทค ในต่างประเทศที่น่าสนใจ เช่น ที่ประเทศจีนมีแพลตฟอร์ม Ping An Good Doctor ให้บริการด้านสุขภาพครบวงจร ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนใช้งาน Ping An Good Doctor 400 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
2.การสนับสนุนระบบนิเวศน์เฮลธ์ เทค สตาร์ทอัพในไทยอย่างจริงจัง ในปัจจุบันประเทศไทยมีระบบนิเวศน์เฮลธ์ เทค สตาร์ทอัพ เกิดขึ้นแล้วครอบคลุมทั้งด้านยา ยาจากพืชสมุนไพรที่วิจัยและพัฒนาจากวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ บริการกายภาพบำบัด การส่งยา โรงพยาบาลทางไกล เครือข่ายแพทย์ ฯลฯ หากมีการสนับสนุนด้านเงินทุน เสริมศักยภาพ สร้างโมเดลธุรกิจที่ใหญ่และเป็นจริงได้ ก็จะสามารถยกระดับบริการทางการแพทย์ของไทยให้ดีขึ้นไปได้อีก
เรื่องที่ 2 การมุ่งสู่การแพทย์จีโนมิกส์ (Genomic Medicines)
การแพทย์จีโนมิกส์ คือ นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใช้ข้อมูลพันธุกรรมเฉพาะบุคคลร่วมกับข้อมูลทางสุขภาพอื่นๆ มาใช้ในการวินิจฉัย รักษา และทำนายปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค รวมถึงการรักษาโรคเรื้อรังในระดับเซลล์ จึงรักษาผู้ป่วยได้ตรงจุด แม่นยำ และมีโอกาสหายขาดจากโรคเรื้อรังที่มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ช่วยยกระดับการรักษาของไทยไปสู่การให้บริการทางการแพทย์แบบแม่นยำ ใช้เทคโนโลยีในการรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่สูงขึ้นจากกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และด้วยความก้าวหน้านี้จะช่วยให้การดูแลสุขภาพของประชาชนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จึงสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาระของภาครัฐได้อีกด้วย คาดการณ์ว่าการนำการแพทย์จีโนมิกส์เข้ามาใช้ ประเทศไทยจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปี 2580 ได้กว่า 3 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 1 % ของจีดีพี
เรื่องที่ 3 การสนับสนุนจากภาครัฐ (Government Support)
1.แผนยุทธศาสตร์ Thailand Medical Hub เป็นบทบาทของภาครัฐที่จะต้องผลักดัน โดยเฉพาะการผลิตบุคลากรฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และการส่งเสริมงานวิจัยเพื่อให้ไทยสามารถสร้างผลิตภัณฑ์การแพทย์แบบไทยที่มีความโดดเด่นแตกต่าง ผสมผสานเทคโนโลยี ป้อนเข้ามาในอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับความเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของไทยขึ้นไปอีกระดับ พร้อมตอบสนองความต้องการผู้บริโภคยุคหลังโควิด-19 ได้
2.การส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI ซึ่งเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า รัฐมุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดการลงทุนทางด้านบริการแบบเฉพาะทางและการให้บริการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นภาษีนานสูงสุด 8 ปี จึงเป็นโอกาสของผู้ให้บริการในธุรกิจนี้ที่จะเข้ามาลงทุนได้
3.การออกนโยบายส่งเสริมการวีซ่าแบบระยะยาว 10 ปี (Long-stay visa) ให้แก่ชาวต่างชาติ สอดรับกับทิศทางของโลกที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ
เรื่องที่ 4 การลงทุนโดยบริษัทเอกชน (Corporate Venture)
กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศมีการลงทุนทั้งด้านเทคโนโลยีและเงินทุน โดยเริ่มเปิดให้บริการธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์แล้วในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ บริการศูนย์การแพทย์ บริการแพทย์ทางไกล บริษัทยา ซึ่งหากบริษัทเอกชนชั้นนำเล็งเห็นศักยภาพในกลุ่มเฮลธ์ เทค ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายย่อยที่มีจุดเด่นด้านนวัตกรรม รวมทั้งมองเห็นโอกาสจากการแพทย์จีโนมิกส์ ก็จะเกิดการต่อยอดสู่การให้บริการในขนาดที่ใหญ่ขึ้น และพาประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์คุณภาพของภูมิภาคอย่างยั่งยืนได้เร็วขึ้น
“หากไทยสามารถบูรณาการศักยภาพทางเทคโนโลยี ควบคู่กับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และการลงทุนจากภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง การยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ของประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ชั้นนำของโลกอย่างยั่งยืน ย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ จะกลายเป็นภาคบริการที่สำคัญในการสร้างรายได้เข้าประเทศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า นอกจากนี้คนไทยก็จะมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายและประหยัดยิ่งขึ้นผ่านเทคโนโลยี ลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลด้านสาธารณสุขในระยะยาว โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2580 จะสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 1.5 แสนล้านบาท”