“โอสถสภา” ตั้งบริษัทร่วมทุน “ยันฮี” บุกตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชง-กัญชา สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ตั้งเป้าเริ่มจำหน่ายกลางปี 2565
คุณวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า โอสถสภา ได้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด เพื่อจัดตั้ง บริษัท โอสถสภา ยันฮี เบฟเวอเรจ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท
โดยโอสถสภา ถือหุ้นร้อยละ 55 ผ่านบริษัท โอสถสภา เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ขณะที่ยันฮี ถือหุ้นร้อยละ 45
บริษัทร่วมทุนดังกล่าว จะทำธุรกิจด้านการค้นคว้า พัฒนา และทำการตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ซึ่งประกอบด้วย ใช้ หรือมีส่วนผสมที่ทำจากกัญชา (cannabis) หรือกัญชง (hemp) หรือสารสกัดจากกัญชา/กัญชง โดยกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หนึ่งในกลยุทธ์หลักของโอสถสภา คือการพัฒนาสินค้าที่มีส่วนผสมของสมุนไพรเพื่อตอบกระแสการดูแลสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพรให้มีอาชีพ เพิ่มรายได้ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางธุรกิจของโอสถสภา
หลังจากมีการปลดล็อกกัญชง-กัญชาออกจากการเป็นสารเสพติดและสามารถใช้ในเชิงพาณิชย์ได้นั้น โอสถสภาได้ทำการศึกษาธุรกิจเครื่องดื่มผสมกัญชง-กัญชาอย่างละเอียดรอบคอบและมองเห็นถึงแนวโน้มการเติบโต
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถนำคุณสมบัติของกัญชง-กัญชามาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โดยยันฮีมีพื้นฐานธุรกิจด้านการแพทย์ มีประสบการณ์จากศูนย์รักษาโรคด้วยกัญชา และยังเป็นผู้ผลิตวิตามิน วอเตอร์รายแรกในประเทศไทย ทำให้มั่นใจในศักยภาพการพัฒนาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชง-กัญชาได้เป็นอย่างดี จึงเกิดเป็นความร่วมมือในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ คาดว่าเริ่มจำหน่ายสินค้าภายใต้บริษัทร่วมทุนได้ในช่วงกลางปี 2565
“การร่วมทุนระหว่างโอสถสภาและยันฮี นับเป็นการนำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน ช่วยตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภค โดยเฉพาะด้านการดูแลสุขภาพ ผ่านการคิดค้นพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่นำคุณประโยชน์ของกัญชง-กัญชามาใช้อย่างเต็มที่ แตกต่างจากสินค้าอื่นๆ ในตลาด ซึ่งจะช่วยขยายธุรกิจไปสู่ตลาดที่มีโอกาสเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี”