หลังจาก บริษัทอาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ธุรกิจประกันภัยในกลุ่มทีซีซี ของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ได้ยื่นเรื่องขอ “เลิกประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย” และส่งคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยต่อนายทะเบียนตามกฎหมาย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยอดเคลมประกันโควิด “เจอ จ่าย จบ” กว่า 9,900 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 บอร์ด คปภ. แจ้งว่าได้ “รับคำขอเลิกประกอบธุรกิจ” ประกันวินาศภัยของอาคเนย์และไทยประกันภัย พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขฯ เพื่อพิทักษ์ประโยชน์ผู้บริโภค ให้ปฏิบัติให้แล้วเสร็จ ก่อนเสนอ บอร์ด คปภ. เพื่อพิจารณาว่าจะอนุญาตให้เลิกกิจการหรือไม่
โดยระหว่างนี้ทั้ง 2 บริษัทยังต้องประกอบธุรกิจตามปกติ โดยประชาชนยังสามารถยื่นเคลมประกันภัยได้
อาคเนย์ประกันภัยและไทยประกันภัย ได้ยื่นขอเลิกกิจการ โดยให้มีผลทันทีนับตั้งแต่วันที่แผนการเลิกประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัทได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คณะกรรมการ คปภ.) และทั้ง 2 บริษัทจะคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยต่อไป โดยขออนุมัติให้กองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้เข้ามาอำนวยการที่เกี่ยวข้องกับการเลิกประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของทั้ง 2 บริษัทตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่กองทุนประกันวินาศภัยกำหนด
ในเรื่องนี้ สำนักงาน คปภ. ได้มีการตั้งคณะทำงานพิจารณาคำขอเลิกประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยแล้ว โดยคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า คณะกรรมการ คปภ. ยังไม่สามารถพิจารณาอนุญาตให้บริษัทเลิกกิจการได้ เนื่องจากทั้ง 2 บริษัท ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาเพื่อพิทักษ์ประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือผู้มีส่วนได้เสียให้ครบถ้วนก่อน ตามที่คณะกรรมการ คปภ. กำหนด ตามมาตรา 57 ให้เสร็จสิ้นก่อน คณะกรรมการ คปภ. จึงจะอนุญาตให้บริษัทเลิกกิจการได้
กำหนดหลักเกณฑ์ก่อนเลิกกิจการ
ดังนั้นบอร์ด คปภ.จึงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาให้ทั้ง 2 บริษัทปฏิบัติให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดดังนี้
1. วิธีจัดการหรือการโอนภาระผูกพันตามกรมธรรม์ประกันภัยทุกประเภทที่ยังมีผลผูกพันอยู่ไปยังบริษัทประกันภัยผู้รับโอน ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
– ให้บริษัทผู้ขอเลิกกิจการแจ้งรายชื่อบริษัทที่จะรับโอนกรมธรรม์ประกันภัยให้สำนักงาน คปภ. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน
– สิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทที่รับโอนไปต้องเท่ากับหรือไม่ด้อยกว่าสิทธิประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครองตามผลผูกพันของกรมธรรม์ประกันภัยเดิม
2. ช่องทางและวิธีการบอกกล่าวฯ ให้ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย และผู้มีส่วนได้เสียทราบและใช้สิทธิตามกฎหมาย จะต้องเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น การบอกกล่าวเจ้าหนี้อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
3. การโอนหรือการขอรับเงินสำรองตามมาตรา 23 (1) ที่บริษัทประกันภัยวางไว้กับนายทะเบียน ตามมาตรา 24 จะกระทำได้ต่อเมื่อ
– บริษัทได้โอนภาระผูกพันตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังมีผลผูกพันอยู่ และมีการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวผู้รับประกันภัยเสร็จสิ้นแล้ว
– บริษัทประกันภัยสามารถแสดงหลักฐานให้เห็นว่าไม่มีหนี้สินหรือภาระผูกพันตามสัญญาประกันภัยแล้ว
4. ให้บริษัทผู้ขอเลิกกิจการดำเนินการดังต่อไปนี้
– แสดงแผนงานรายละเอียดของการจัดการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการประกันวินาศภัยและกิจการที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการตามมาตรา 28 ให้สำนักงาน คปภ. ทราบ
– ต้องจัดการทรัพย์สินและหนี้สินให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดใน ข้อ 5 และในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ บริษัทต้องโอนทรัพย์สินและภาระผูกพันไปยังผู้รับโอน โดยแสดงหลักฐานว่าผู้รับโอนยินยอมรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าวด้วย
5. ระยะเวลาของการดำเนินการ ให้เป็นไปตามที่สำนักงาน คปภ. ร่วมกับบริษัทกำหนด โดยให้ทั้ง 2 บริษัทแจ้งให้สำนักงาน คปภ. ทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการพิจารณาจากคณะกรรมการ คปภ.
เมื่อบริษัทได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาข้างต้นครบถ้วนแล้ว ให้บริษัทแจ้งผลการดำเนินการมายังสำนักงาน คปภ. เพื่อนำเสนอให้คณะกรรมการ คปภ. พิจารณาอนุญาตเลิกกิจการต่อไป
แจงขอเลิกกิจการเองไม่เข้าข่ายใช้เงินกองทุนดูแล
ส่วนประเด็นที่บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ขอให้กองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้เข้ามาอำนวยการที่เกี่ยวข้องกับการเลิกประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัทตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่กองทุนประกันวินาศภัยกำหนด นั้น
คณะกรรมการ คปภ. เห็นว่าตามมาตรา 79 บัญญัติให้กองทุนประกันวินาศภัยมีหน้าที่คุ้มครองเจ้าหนี้ ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัย ในกรณี “บริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย” และเพื่อ “พัฒนาธุรกิจประกันวินาศภัยให้มีความมั่นคงและเสถียรภาพ” แต่ไม่รวมกรณีบริษัทขอเลิกประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยเอง ตามมาตรา 57 จึงไม่สามารถเข้ามาดำเนินการในขั้นตอนการเลิกประกอบธุรกิจตามคำขอของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว
ขั้นตอนต่อไปสำนักงาน คปภ.จะได้มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย รวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ แก่ อาคเนย์ประกันภัย และ ไทยประกันภัย ต่อไป โดยในระหว่างที่ทั้ง 2 บริษัทยังไม่ได้รับอนุญาตให้เลิกกิจการ ยังต้องประกอบธุรกิจตามปกติ ดังนั้นผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทได้เช่นเดิม