สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 14 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 หัวข้อ “สินค้าแพง ค่าครองชีพพุ่ง จะช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร” โดยสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 คน จาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สรุปผลการสำรวจ 6 คำถาม ดังนี้
1. ปัจจัยที่ส่งผลกระทบทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้
- ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 76.7%
- ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น 74.0%
- ค่าขนส่งที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง 63.3%
- ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และภาระค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่เพิ่มขึ้น 51.3%
2. ภาวะราคาสินค้าแพงจะยาวนานแค่ไหน
- 3-6 เดือน 35.3%
- 6-12 เดือน 34.7%
- มากกว่า 1 ปี 30.0%
3. มาตรการใดมีประสิทธิภาพในการช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน
- ลดค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำประปา, ค่าเดินทาง 75.3%
- ลดภาระภาษีและค่าธรรมเนียม เช่น ภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิงและสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพอื่นๆ 74.7%
- ตรึงราคาน้ำมัน ไม่ให้มีผลต่อต้นทุนสินค้า 66.0%
- มาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพ เช่น คนละครึ่ง 59.3%
4. ภาคเอกชนจะช่วยเหลือประชาชนในการตรึงราคาสินค้าไม่ให้ปรับขึ้นได้นานเท่าไร
- 1 – 2 เดือน 40.0%
- 3 – 4 เดือน 30.7%
- มากกว่า 6 เดือน 16.7%
- 5 – 6 เดือน 12.6%
5. เอกชนควรปรับตัวรับมือกับกำลังซื้อของภาคครัวเรือนที่ชะลอตัวอย่างไร
- นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 77.3%
- นำระบบบริหารจัดการมาช่วยในการลดต้นทุนการผลิต เช่น LEAN, ไคเซ็น 61.3%
- ปรับกลยุทธ์เน้นตลาดต่างประเทศ และการแสวงหาตลาดส่งออกใหม่ๆ 54.0%
- เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์ 50.0%
6. อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2565 จะอยู่ในระดับใด
- 58.0% บอกเพิ่มขึ้น 2-4 %
- 23.3% บอกเพิ่มขึ้นมากกว่า 4%
- 18.7% บอกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2%
สรุป CEO Survey จากผู้บริหาร ส.อ.ท.ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ บอกว่าปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบและต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาพลังงานสูงขึ้น ส่งผลกระทบทำให้ “ราคาสินค้า” ปรับขึ้น คาดว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้นไปอีก 3-6 เดือน
ขณะที่ผู้ประกอบการ “ส่วนใหญ่” 40% ตรึงราคาสินค้าได้อีก 1-2 เดือนเท่านั้น