บริษัทเทคโนโลยีก็อาจเจอการเติบโตแบบ K Shape ได้เหมือนกัน เห็นได้จากการแถลงผลประกอบการที่ผ่านมาที่พบว่า บริษัทอย่าง Apple, Microsoft, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), Samsung หรือแม้แต่ Amazon ต่างมีผลประกอบการสุดอู้ฟู่ ขณะที่ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) กลับเจอสถานการณ์ที่ต่างออกไป นั่นคือมูลค่าหุ้นร่วงอย่างหนัก เพียงเพราะมีผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม “ลดลง” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไม่เท่านั้นยังพาราคาหุ้นของกลุ่มโซเชียลมีเดียรายอื่น ๆ ร่วงตามไปด้วย เช่น Twitter, Snap ที่มีรายงานว่าหุ้นร่วงไป 5.5% และ 23.6% ตามลำดับ*
ขณะที่ตัวเลขการเติบโตของผู้ใช้งาน Meta ในอดีตนั้น นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า Meta ใช้การควบกิจการบริษัทอย่าง Instagram หรือ WhatsApp เข้ามาเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานของบริษัทให้ยังคงดูดี แต่ในอนาคต หาก Facebook ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่สามารถดึงดูดผู้ใช้งานรายใหม่ให้เข้ามาเล่นได้แล้ว การเติบโตของ Facebook จะต้องพึ่งพาคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานเดิมสร้างขึ้น หรือพยายามชักชวนให้ผู้ใช้งานเดิมไปจอยตามกลุ่มต่าง ๆ เหมือนที่เคยทำมา เพื่อสร้าง Engagement ให้ยังคงมีอยู่แทน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าไม่ยั่งยืนในระยะยาว
บทวิเคราะห์จาก JPMorgan ยังมีการปรับลดอันดับคะแนนของ Meta เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่บริษัทเข้า IPO เมื่อปี 2015 ด้วย เนื่องจากเห็นแนวโน้มแล้วว่า ความสามารถในการทำรายได้จากค่าโฆษณาของ Meta นั้นลดลง ขณะที่การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลก Metaverse ที่บริษัทหมายมั่นปั้นมือนั้นต้องใช้เวลาอีกหลายปี และมีค่าใช้จ่ายมหาศาลรออยู่ เห็นได้จากการเปิดเผยงบการเงินของ Reality Labs ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนาแว่น VR, ซอฟท์แวร์ต่าง ๆ ให้กับ Meta ที่ขาดทุนไปถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ปัญหาที่เกิดจากแพลตฟอร์มของ Facebook เองก็มีผลทำให้ผู้ใช้งานลดลงได้เช่นกัน โดยมีการวิเคราะห์ว่า การล็อกอินไม่ได้ หรือการเข้าไม่ถึงบางฟีเจอร์ หรือการที่ระบบล่มแล้วใช้เวลาแก้ไขนานเกินไป ทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสโบกมือลา นอกจากนี้ ทางทีมงานของ Facebook ยังพบว่าพฤติกรรมผู้ใช้งานบางส่วนเข้า Facebook เพราะต้องการแค่มาอวยพรวันเกิดเพื่อน บางคนเข้ามาเพราะมีกลุ่มที่พวกเขาอยากจอยด้วย แต่เมื่อมีเพื่อนเข้ามาเล่นน้อยลง บางคนในกลุ่มนี้ก็อาจถอนตัวออกไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี หากหันไปดูหุ้นของบริษัท “เทคโนโลยี” แท้ ๆ อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft), แอปเปิล (Apple) และอัลฟาเบ็ท (Alphabet) จะพบผลการดำเนินงาน และการเติบโตในทิศทางที่ตรงกันข้าม โดยในไตรมาสที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทเหล่านั้นยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมีรายได้จากธุรกิจเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ แม้บางรายจะมีรายได้จากค่าโฆษณาเข้ามา แต่ก็ไม่ใช่รายได้หลักเหมือนอย่าง Meta (อ่านเพิ่มเติมที่ ผลประกอบการ”บิ๊กเทค” สุดอู้ฟู่ “ซัมซุง-เทสล่า-ไมโครซอฟท์” ทำได้เหนือกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ – Brand Buffet)
ในส่วนของ Meta หรือว่า Facebbok นั้น ทำให้หุ้นของเฟซบุ๊กกลายเป็นหุ้นที่ “ตกลงในวันเดียว มูลค่าลดลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์” เลยทีเดียว
สิ่งที่เกิดกับ Meta จึงเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์หลายคนยอมรับว่าโหดร้าย เมื่อคำว่า Good นั้นอาจไม่พออีกต่อไปสำหรับการทำให้ถูกใจนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีบริษัทชื่อดังเป็นคู่เทียบ สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนปรับมาตรฐาน และความคาดหวังให้สูงมากขึ้น
ปรากฏการณ์ที่เกิดกับ Meta ยังทำให้ความมั่งคั่งของ Mark Zuckerberg ตามการจัดอันดับของ Bloomberg Billionaire Index ร่วงลงไปอยู่อันดับ 10 ในวันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2022) โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน 8.92 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นมหาเศรษฐีคนเดียวในกลุ่ม 10 คนแรกของโลกที่มีทรัพย์สินไม่ถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่หนึ่งของตารางยังคงเป็น Elon Musk เจ้าพ่อเทสล่าที่มีทรัพย์สินมากถึง 2.31 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อไป
Bloomberg billionaire index เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2022
*หมายเหตุ – หุ้นของ Snap ที่ถูก Meta ดึงร่วงไปด้วยนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ทางบริษัทมีการเปิดผลประกอบการ และพบว่าสามารถเพิ่มตัวเลขผู้ใช้งานได้ถึง 13 ล้านคนในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และมีรายได้ถึง 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้ทำให้มูลค่าหุ้นพุ่งกลับขึ้นมาได้ 62% และบริษัทตั้งเป้าว่า ในไตรมาส 1 นี้ จะสามารถเพิ่มตัวเลขผู้ใช้งานรายวันได้เป็น 328 – 330 ล้านคนอีกด้วย