เชื่อว่าทุกคนตอนนี้ตระหนักดีว่า ประเทศไทยมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี เมื่อโลกดิจิทัลก้าวขึ้นเป็นกระแสหลักของการใช้ชีวิต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นได้ทั้งโอกาส และหายนะ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ เราจึงมีมุมของของโลกในยุค web 3.0 จากคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่มาแบ่งปันผ่านงานสัมมนาออนไลน์ Unlock The Future จัดโดย Brandbuffet ที่เผยให้เห็นถึงภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้อย่างละเอียด พร้อมบอกเล่าถึงโอกาสที่รออยู่ รวมถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นว่าจะกระทบกับบริบทของสังคมไทยอย่างไรด้วย
สิ่งที่คุณท็อปปูพื้นก่อนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันก็คือ การอธิบายให้เห็นภาพว่าโลกเติบโตมาอย่างไร จากยุค web 1.0 มาสู่ web 2.0 และกำลังจะก้าวเข้าสู่ web 3.0 โดย web 1.0 เป็นเหมือนตอนที่เราอ่านหนังสือพิมพ์ ที่อ่านได้อย่างเดียว ไม่สามารถตอบโต้หรือคอมเม้นได้
จาก web 1.0 สู่ web 3.0
“อินฟราสตรักเจอร์ที่ทำให้เราเข้าถึง web 1.0 ได้ก็คือโมเด็ม (Modem) ที่ต่อแล้วจะมีเสียงดัง ๆ และคอมพิวเตอร์ นั่นคือ ปี 1990 – 2000 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นที่ภาคธุรกิจยังไม่ Consider เท่าไร แต่พอปี 2000 – 2020 มันคือยุค web 2.0 ยุคที่ User generated content เราสามารถที่จะอ่าน ให้ฟีดแบ็ก คอนเน็คกันได้ เราเริ่มคอนเน็คกันผ่านรูปภาพ ผ่านวิดีโอ ส่วนอินฟราสตรักเจอร์ในยุค web 2.0 คือ Cloud computing แทนการใช้ไพรเวทเซิร์ฟเวอร์”
“หลังจากที่มันก้าวกระโดด เราจะเริ่มคอนเนคกันได้ผ่านข้อความ ผ่านวิดีโอ เป็นทูเวย์อินเทอร์แอคชั่น นำไปสู่การเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดียเช่น Facebook การแสดงผลก็จะมีความไดนามิกมากขึ้นตามความสนใจของผู้ใช้งาน เช่น ถ้าเราชอบแมว ก็จะมีฟีดเกี่ยวกับแมวขึ้นมาเต็มไปหมด ถ้าเราชอบรถก็จะเจอแต่ข้อมูลของรถด้วยเช่นกัน อันนี้คือ web 2.0”
Data Privacy จุดอ่อนของ web 2.0
อย่างไรก็ดี คุณท็อปได้ชี้ให้เห็นด้วยว่า ในการเชื่อมต่อที่สะดวกง่ายดายของ web 2.0 ได้เกิดปัญหาที่เป็นการผูกขาดชุดข้อมูลระหว่างกัน และปัญหานี้ได้หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกยุคปัจจุบัน
“ข้อเสียของ web 2.0 คือมัน Centralized เกินไป จนบริษัทยักษ์ใหญ่เอา Data ของเรามาเปลี่ยนเป็นเงินได้มากมายเต็มไปหมด ทุกวันนี้ คนบ่นกันว่า Google เป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ตไปแล้ว พวกเขาใหญ่เกินกว่าจะล้มได้แล้ว Facebook ก็มีดาต้าของตัวเอง ไม่แชร์กับ Google, Apple ทุกคนต่างสร้างชุดข้อมูลที่ไม่แชร์กับใคร ไม่สามารถย้ายค่ายได้ มันจึงมีสิ่งใหม่ที่ชื่อว่า web 3.0 เกิดขึ้นมา”
“อินฟราสตรักเจอร์ของ web 3.0 คือบล็อกเชน ซึ่งเป็นการเก็บ Data แบบกระจายตัว (Distributed ledger) ที่ไม่มีบริษัทใดบริษัทหนึ่งคอนโทรลหรือ Abuse มันได้แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป”
ยุค Internet From the Sky – ใช้ไฟฟรี เกิดแน่
สิ่งที่จะมาขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกข้อก็คือเรื่องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ในอนาคตจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นการยิงตรงจากท้องฟ้า โดยอินเทอร์เน็ตในลักษณะดังกล่าวจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการวางโครงสร้างพื้นฐานลงได้มาก และทำให้อินเทอร์เน็ตสามารถกระจายเข้าสู่ประเทศที่ยากจน หรือพื้นที่ห่างไกลได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Smart City ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านั่นเอง
คุณท็อปยังได้กล่าวถึงไฟฟ้าว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยอีกไม่ถึงสิบปีข้างหน้า มนุษย์อาจได้ใช้ไฟฟ้าฟรีเลยก็เป็นได้ นอกจากนั้น เราอาจสามารถเทรดไฟฟ้ากันแบบ Peer-to-Peer บ้านไหนที่ใช้ไฟฟ้าน้อย เขาก็สามารถขายให้เพื่อนบ้านได้ด้วย ซึ่งสองปัจจัยนี้จะทำให้ IoT – Smart City เกิดและเติบโตอย่างมากในอนาคตอันใกล้
“อีกสิบปีข้างหน้า เราจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแบบ 3D – โฮโลแกรม ซึ่งนี่คือประสบการณ์การใช้เน็ตที่จะเกิดในยุคที่ 3 ของโลก”
NFT เครื่องยืนยันว่าใครคือตัวจริง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะตามมาจากการเชื่อมต่อกันได้ผ่านโฮโลแกรมก็คือ ใครคือตัวจริง เช่นในกรณีที่ว่า เราใส่แว่นอยู่ แล้วมีท็อป-จิรายุสโผล่ขึ้นมา จะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือท็อปตัวจริง
“นั่นคือความสำคัญและวัตถุประสงค์ของ NFT ที่จะมาช่วยยืนยัน DNA ของ digital property ว่าใครคือของแท้ เมื่อมี NFT เป็นเครื่องยืนยันตัวตน เราอาจสามารถใส่แว่นตา แล้วไปวาดภาพอยู่ในมิวเซียม โดยมีเพื่อนข้าง ๆ มาจากออสเตรเลีย แมวข้าง ๆ เป็นดิจิทัลแคท (ที่มีดีเอ็นเอยูนีคแบบแมวในโลกแห่งความป็นจริง) ก็เป็นได้”
“จะเห็นได้ว่า หลายเทคโนโลยีจะทำงานร่วมกันในอีกสิบปีข้างหน้า ส่วน Metaverse, AR, VR คือแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่ทุกคนเห็น แต่สิ่งที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งเช่น บล็อกเชน, คริปโต, NFT, AI จะทำงานร่วมกันเต็มไปหมดเลย ซึ่งในโลกยุคดังกล่าว เงินไม่ใช่กระดาษแน่นอน ฟอร์แมทมันไม่ใช่ มันไม่สามารถไปอยู่ในโลกเสมือนได้”
สิ่งที่ต้องเปลี่ยนอันดับต่อไปก็คือ “เงินตรา”
จากการเติบโตของโลกดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงลำดับถัดไปก็คือเรื่องของเงิน โดยสำหรับประเทศไทย คุณท็อปเผยว่า บาทดิจิทัลมีแผนจะนำออกมาใช้ในปีนี้ (ประมาณไตรมาสสอง – ไตรมาสสาม) ขณะที่ในระดับโลก ประเทศผู้นำอย่างจีนแผ่นดินใหญ่ก็ประกาศใช้ดิจิทัลหยวนแล้วอย่างกว้างขวาง
“เงินจะมีการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ห้าสิบปี เงินในอนาคตจะอยู่ในรูป Programable money เพื่อให้ฟอร์แมตของเงินไปกันได้กับ Digital economy ที่จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ส่วน Physical Economy ก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า digital divided ธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับ Old economy จะเติบโตลดลง ส่วนธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับ Digital Economy จะรับพนักงานไม่ทัน และจะโตแบบยกกำลัง”
“ทุกคนเคยเล่นเกมใช่ไหม การจะเล่นเกมต้องเปิดใจศึกษากฎของเกมว่าคืออะไร ต้องอ่านกฎให้เข้าใจ และศึกษากลยุทธ์ที่จะชนะ คุณถึงจะเป็นผู้ชนะ อยู่ดี ๆ กฎของเกมมันเปลี่ยนทุกข้อเลย แล้วเรายังยึดติดกับวิธีทำงานเดิม ๆ เพราะมันทำให้เราเคยชนะมาก่อน เราจะยังชนะได้อยู่หรือเปล่า”
“คนที่จะชนะในการเล่นเกมคือคนที่เปิดใจ Unlearn กฎเก่า Relearn กฎใหม่ หลังจากนี้เราต้องเลือกแล้วว่าเราจะอยู่ฝั่งไหนของการเปลี่ยนแปลง จะเป็น Exponential Winner ที่ทำเงินได้หนึ่งล้านบาททุกสิบวินาที หรือเป็น Exponential loser ที่ไม่สามารถปรับตัวได้”
“สำหรับเมืองไทย บริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 30 ปีที่แล้วเป็นใคร ทุกวันนี้ยังเหมือนเดิม แต่ถ้าเราไปดูในสหรัฐอเมริกา จะพบว่าเป็นบริษัท technology – driven company ไปหมดแล้ว เช่น Facebook, Amazon, Apple, Microsoft, Google ซึ่งมันจำเป็นมากที่เมืองไทยจะต้องรีบปรับตัว ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก”
“ประเทศไทยเสียโอกาสมหาศาลในยุค web 1.0, web 2.0 ที่เราไปกลัวมัน ไปยึดติดกับการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ซึ่งก็พอจะอยู่รอดในยุคนั้น แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้เรายังติดกับดักรายได้ปานกลาง ถ้าสิ่งที่เราทำได้ ทุกประเทศทำได้เหมือนกัน เงินจะเข้าประเทศเราไหม เราจะสูญเสียความสามารถการแข่งขัน ต้องตัดราคากันไปเรื่อย ๆ ระยะยาวจะเหลือศูนย์”
อดีตไม่สำคัญ แต่อนาคต “ไทย” ต้องพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
“สิ่งที่ผมจะบอกทุกคนวันนี้ก็คือ ตั้งแต่ปี 2021 – 2030 มันไม่สำคัญว่า อดีตคืออะไร แต่มันสำคัญว่าในอีกสิบปีข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนไปในไดเรคชั่นไหน ซึ่งปี 2021 – 2030 คือการมาของ web 3.0 มันคือการรวมเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบล็อกเชน AR, VR, Metaverse, IoT ทุกอย่างจะฉลาด ไม่ใช่แค่นาฬิกา มือถือ คอมพิวเตอร์ แต่อนาคต โต๊ะ ทีวี ตู้เย็น จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้หมด และสร้างประสบการณ์แบบ Immersive ขึ้นได้”
“เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไรให้ SME สามารถปรับตัวได้ แล้วสามารถสร้างธุรกิจในเลเยอร์ที่ 3 – 4- 5 ขึ้นมาได้ จะดีกว่าไหมถ้าใน web 3.0 เรามี Decentralized App Store เป็นของคนไทย แล้วไปบุกต่างประเทศเอาเงินเข้าประเทศไทย จะดีกว่าไหมถ้าเรามีทาเลนท์ยุคใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตสู่โลกใหม่นี้ให้ได้ เช่น ทาเลนท์ในสาขา Blockchain Engineer, Fintech, BigData, Coding, Design Thinking นั่นเอง”
รับชมคลิปฉบับเต็มได้ที่