กลายเป็นปรากฏการณ์ Talk of the Town ระดับ “ห้างแตก” เมื่อ Swatch จับมือกับOMEGA เปิดตัวนาฬิการุ่น Omega x Swatch Speedmaster MoonSwatch 11 แบบ เมื่อวันเสาร์ที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา โดยในประเทศไทยเปิดจองที่ 3 ห้างสรรพสินค้าชั้นนำใจกลางเมือง ประกอบด้วย Central World, Icon Siam และ Siam Paragon อะไรที่ทำให้นาฬิการุ่นนี้ เป็นที่ต้องการขนาดนี้ BrandBuffet ขอรวบรวมเหตุผลสำคัญเอาไว้ 3 ประเด็น ดังนี้
Collaboration จับเป้าหมายแฟน 2 กลุ่มในราคาเอื้อมถึง
การร่วมมือกันของ 2 แบรนด์นาฬิกาชื่อดังนี้ เป็นการดึงเอาฐานแฟนของทั้งสองมารวมกัน สำหรับ Swatch ซึ่งเป็น “Fashion Brand” มีสนนราคาอยู่ที่หลักพัน-หมื่นบาท
ขณะที่ Omega เป็นแบรนด์ที่มีอายุกว่า 174 ปี ที่ผ่านมาวางภาพลักษณ์ของตัวเองเป็น Professional แบรนด์ที่เน้นเทคโนโลยีมีความเที่ยงตรง เหมาะกับภารกิจของมืออาชีพ เห็นได้จากการเข้าไปสนับสนุนกีฬาโอลิมปิกในฐานะนาฬิกาที่ใช้จับเวลาประจำการแข่งขัน หรือนาฬิกาที่นาวิกโยธินบางประเทศใช้จับเวลาและความลึกเมื่อต้องดำน้ำ ปกติ Omega จะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่หลักหมื่นจนถึงแสน แต่สำหรับโมเดล Speedmaster ซึ่งเป็นต้นแบบของ Omega x Swatch Speedmaster MoonSwatch 11 นี้ อาจมีราคาหน้าร้านหลักล้าน ในบางรุ่นย่อยขึ้นกับวัสุดของตัวเรือนเลยทีเดียว
นั่นทำให้เมื่อ OmegaxSwatch เปิดตัวคอลเลกชั่นนี้แฟนๆ ที่ต้องการได้หน้าปัด Omega มาประดับข้อมือก็ให้ความสนใจในโอกาสนี้ รวมทั้งขนาดของตัวเรือน 44 มม. นาฬิกาเรือนนี้จึงเป็น Unisex ที่ใส่ได้ทุกคน ก็ยิ่งมีช่องว่างให้เพิ่มจำนวนลูกค้าได้มากขึ้น
จาก STORY สู่ดีไซน์
นาฬิกาคอลเลกชั่น MoonSwatch นี้ เป็น BIOCERAMIC ที่มีเรื่องราวจากทางฝั่งของ Omega มาแต่งเติม เมื่อ Speedmaster เป็นนาฬิกาที่ได้รับความไว้วางใจจาก NASA ให้เป็นนาฬิกาที่ใช้ในการจับเวลาครั้งแรกที่มวลมนุษชาติเหยียบดวงจันทร์ ในปี ค.ศ. 1969 จนเป็นที่มาของดีไซน์ซึ่งได้แรงบันดาลใจอิงกับชื่อของดวงดาวในระบบสุริยจักรวาล เช่น
Mission to Uranus
สีน้ำเงินอ่อนที่อุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าของกรีก
Mission to Pluto
อุทิศให้กับดาวเคราะห์ “แคระ” ด้วยสีเทาและสีเบอร์กันดี
Mission to Venus
เฉลิมฉลองให้กับดาวเคราะห์แห่งความรักด้วยสีพาวเดอร์พิ้งค์และหน้าปัดย่อยทรงรี
Mission to Saturn
เรือนเวลาสีเบจอันงดงามและวงแหวนดาวเสาร์ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา
Mission to Mars
นาฬิกาสีแดงดุดันกับชุดเข็ม “Alaska Project”
Mission to Neptune
เฉลิมฉลองให้กับดาวเคราะห์ยักษ์น้ำแข็งด้วยสีน้ำเงินเข้ม
Mission on Earth
ชวนระลึกถึงดวงดาวอันล้ำค่าของเราด้วยสีน้ำเงินและเขียว
Mission to the Sun
ดาวเด่นประจำคอลเลคชั่นในสีทองซันบรัชสุกปลั่ง
แต่ละรุ่นมาพร้อมกับพันธกิจ, ข้อความแกะสลักที่สร้างแรงบันดาลใจ มีตรา OMEGA X SWATCH บนหน้าปัดกับเม็ดมะยม อีกทั้งฝาปิดถ่านของนาฬิกายังได้รับการตกแต่งเป็นภาพของดาวตามแต่ละรุ่น
อ่านมาถึงขนาดนี้ ดูเหมือนว่า Omega จะเป็นแบรนด์ที่มีราคาสูงกว่า Swatch แต่ความจริงแล้วทั้งสองแบรนด์อยู่ในเครือ Swatch Group ซึ่งมีแบรนด์ในเครือทั้งหมด 19 แบรนด์ นั่นทำให้ความร่วมมือกังกล่าวเกิดขึ้น
และสร้างปรากฎการณ์ “ต่อคิว” จนล้นออกมาทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่นไปจนถึง อังกฤษ ออสเตรเลีย ก็เกิดขึ้นเช่นกัน ด้วยเรื่องราว และราคาที่เอื้อมถึง นั่นหมายถึงแฟนพันธุ์แท้แต่ละคนสามารถซื้อทั้ง 11 เรือน ครบคอลเลกชั่นได้เลย รวมแล้วทั้งหมดก็ 95,700 บาท ไม่ถึงแสน
การสื่อสารของแบรนด์
นอกเหนือจากความร้อนแรงของสินค้ากับราคาที่จับต้องได้ เงื่อนไขและการบริหารจัดการของแบรนด์ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องกล่าวถึง เมื่อแบรนด์เปิดตัวด้วยเงื่อนไข จำกัดจำนวนไม่เกิน 2 เรือน (ไม่ซ้ำแบบ) ต่อ1คน เรือนละ 8,700 บาท “First come First Served” นั่นทำให้ทั้งสาวกคนที่ต้องการสะสมนาฬิกาหรือซื้อมาใช้งานจริง รวมทั้งพ่อค้า-แม่ค้า Resale แห่แหนกันไปที่ห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่ 4 ทุ่มของคืนก่อนหน้า
ขณะเดียวกันการบริหารจัดการที่ไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า ทำให้ห้างสรรพสินค้าที่มีหลายประตูก็เกิดการชุลมุนในเวลาที่ห้างเปิด จนสุดท้ายทาง Swatch ประเทศไทยต้องประกาศข้อมูลเพิ่มเติมว่า สินค้าดังกล่าว “ไม่ใช่” Limited Edition มีให้หาซื้ออยู่เรื่อยๆ รวมทั้งเปิดช่องทาง “ออนไลน์” ให้ไปจับจองกันได้ แต่นั่นก็เป็นการแก้ไขปัญหาในฝ่ายหลัง
นี่จึงเป็นบทเรียนของแบรนด์เองในเรื่องของการตั้งเงื่อนไข และบริหารจัดการคิวให้เหมาะสม เพราะเมื่อเป็น Talk of the Town ขนาดนี้ก็ต้องเป็นที่จับจ้องของราคารีเซลซึ่งดีดไปถึง 2-3 หมื่นบาทแล้ว รวมทั้งความคาดหวังของสินค้าที่กลายเป็นที่พูดถึงต่อเช่นกัน