ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์น่าสนใจเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกา นั่นคือการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า บริษัท Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ได้ถือครองหุ้น HP บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และพรินเตอร์ยักษ์ใหญ่อยู่ถึง 121 ล้านหุ้น
หลังจากข้อมูลดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ส่งผลให้หุ้นของ HP ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 15% และทำให้มูลค่าหุ้น HP ที่ Berkshire Hathaway ถือครองอยู่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 4.85 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับว่า กำไรเหนาะ ๆ ประมาณ 650 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
มีอะไรน่าสนใจในดีลนี้
ประการแรกอาจเป็นเรื่องของการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี โดย HP ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายที่ 2 ที่ Berkshire Hathaway ลงทุน (ก่อนหน้านี้ก็คือ Apple) และยังเป็นการลงทุนที่มากพอจะทำให้ Berkshire Hathaway กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ HP ด้วย
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก CNBC ระบุด้วยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้หุ้น HP ปรับตัวสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 2 ปีเลยทีเดียว ซึ่งอาจเป็นเรื่องแปลก เพราะในอีกมุมหนึ่งอาจสะท้อนได้ว่า 2 ปีที่ผ่านมา HP ไม่มีอะไรเตะตานักลงทุนเลยก็เป็นได้ และนั่นอาจทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Berkshire Hathaway ถึงตัดสินใจลงทุนใน HP ในเวลานี้ ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้ว Warren Buffett ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มองการณ์ไกลคนหนึ่ง
ถือหุ้นใหญ่ HP ตอนนี้ได้อะไรตอบแทน
มีการวิเคราะห์ในแง่บวกจากสำนักข่าวในซีกโลกตะวันตกว่า การลงทุนของ Berkshire Hathaway ในครั้งนี้ เกิดในช่วงที่ตลาดพีซีมีความต้องการซื้อสูงจากภาวะวิกฤติ Covid-19 ที่ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคต่างต้องลงทุนปรับตัวเองเข้าสู่โลกดิจิทัล และหากพิจารณาผลประกอบการย้อนหลังของ HP ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็พบว่ามีการเติบโตขึ้นพอสมควร โดย
ปี 2019 : HP มีรายได้สุทธิ 58.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.5% จากปี 2018
ปี 2020 : HP มีรายได้สุทธิ 56.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.6% จากปี 2019
ปี 2021 : HP มีรายได้สุทธิ 63.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.1% จากปี 2020
(อ้างอิงจาก investor.hp.com)
ขณะที่ Enrique Lores ซีอีโอของ HP ได้กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 4 ของปี 2021 ด้วยว่า เป็นไตรมาสที่บริษัททำผลงานได้ดี โดยยอดขายในส่วน Personal System ทำรายได้สุทธิไปถึง 11.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2020 ขณะที่ธุรกิจพรินเตอร์ ก็ทำรายได้ไป 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1%
ตลาดพีซี – พรินเตอร์ยัง “ไปต่อ” จริงหรือ?
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการที่ผ่านมาไม่ได้รับประกันอนาคต เพราะมีการคาดการณ์จาก IDC ว่า ในปี 2022 ความต้องการคอมพิวเตอร์พีซีอาจไม่ได้ร้อนแรงเหมือนในอดีต
ผู้ที่ออกมาเปิดเผยคือ Ryan Reith รองประธานโครงการด้าน Mobility and Consumer Device Trackers ของ IDC ที่ระบุว่า ความท้าทายด้านซัพพลายเชนยังเป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2022 และ IDC ยังพบเทรนด์ความต้องการพีซีในกลุ่มคอนซูเมอร์และภาคการศึกษาที่ลดลงด้วย โดยข้อมูลจาก IDC ระบุว่า ในกลุ่มผู้ซื้อคอมพิวเตอร์ที่มี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ commercial, consumer และภาคการศึกษานั้น คาดว่าจะมีเพียงฝั่ง commercial เท่านั้นที่ยังมีแรงพอจะซื้อพีซีและทำให้ตลาดนี้เติบโตต่อไปในปี 2022
หรือการซื้อ HP คือพักเบรกของ Berkshire Hathaway?
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์ของธุรกิจพีซีที่ต้องแย่งชิงชิปกับอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่จำนวนมากทำให้น่าสงสัยในเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้น นี่ก็อาจเป็นดีลพักจิบน้ำชาของ Berkshire Hathaway ที่ใช้ชื่อและความน่าเชื่อถือของ Warren Buffett มาทำกำไรเบา ๆ
นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปในช่วงกลางเดือนมีนาคม Berkshire Hathaway ได้มีการเข้าซื้อหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่หลายราย ไม่ว่าจะเป็น การซื้อหุ้นบริษัท Occidental Petroleum ในธุรกิจปิโตรเลียม จำนวน 136.4 ล้านหุ้น คิดเป็น 14.6% และทำให้หุ้นของ Occidental ในตลาดนิวยอร์กวันนั้นพุ่งขึ้นทันที 8.5% เป็น 57.50 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการลงทุนคนละสเกลกับ HP ในวันนี้อย่างลิบลับ
ทั้งนี้ สื่อตะวันตกมีการวิเคราะห์ถึงเหตุผลในการเข้าซื้อ Occidental ของ Berkshire Hathaway ในแง่บวกว่าเป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์จากสงครามยูเครน – รัสเซีย ที่ส่งผลให้ความต้องการพลังงานเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัท Occidental และ Berkshire Hathaway ได้ประโยชน์จากผลพวงของสงครามครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนหลังจากนั้นสองสัปดาห์ ในช่วงปลายเดือนมีนาคม Berkshire Hathaway ก็ได้เข้าซื้อธุรกิจประกันภัย Alleghany อีก 11.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก็ถือว่าแตกต่างจากสเกลที่ลงทุนใน HP ค่อนข้างมากเช่นกัน
78% ของพอร์ต Berkshire Hathaway คือหุ้นพี่เบิ้ม
ในภาพรวม หากพิจารณาจากพอร์ตโฟลิโอของ Berkshire Hathaway จะพบว่า สเกลของ HP นั้นเด็กไปเลย เมื่อ 78% ของพอร์ตคือหุ้นตัวใหญ่ทั้งสิ้น โดยท็อป 4 ของ Berkshire Hathaway ประกอบด้วย Apple, Bank of America, American Express และ Coco-Cola ส่วน HP นั้น มีสัดส่วนแค่ 1.2% ของพอร์ตเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลสนับสนุนในทางบวกหรือทางลบ แต่การลงทุนใน HP ในฐานะที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีลำดับที่สองของ Berkshire Hathaway จึงถือว่าแตกต่างจากการเข้าซื้อหุ้น Apple อย่างไม่ต้องสงสัย หรืออาจกล่าวได้ว่า นี่อาจเป็นแค่การสร้างสีสัน (พร้อมทำกำไร) ในช่วงพักเบรกสั้น ๆ ของบริษัทนักเก็งกำไรรายใหญ่ของโลกอยู่ก็เป็นได้