ในธุรกิจสตรีมมิ่งที่แข่งขันกันดุเดือด และเต็มไปด้วยผู้เล่นทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ การมีผู้เล่นยกธงขาวออกจากอุตสาหกรรมไปเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับกรณีของ CNN+ แอปสตรีมมิ่งข่าวที่เพิ่งประกาศปิดตัวในวันที่ 30 เมษายนนี้ อาจถือเป็นการ “ออกจากวงการที่ทำลายสถิติของทุกแพลตฟอร์ม” เพราะบริษัทเพิ่งเปิดตัวมาได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น
การเปิดตัว CNN+ มีขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่แมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา โดยมีคนดังมากมายเข้าร่วมงาน ด้วยเหตุนี้ การออกมาประกาศปิดตัวแอปดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนประหลาดใจ ซึ่งในการปิดตัวนี้ มีการประเมินว่า CNN ใช้เงินไปกับการพัฒนาแอปพลิเคชัน และการจ้างทีมงานไปแล้วกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (จากเป้าหมายใหญ่ว่าจะใช้เงินราว 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐในการพัฒนาสู่ยุคดิจิทัลภายใน 4 ปี) ด้านแอนดรูว์ มอร์ส (Andrew Morse) หัวหน้าของ CNN+ ได้ประกาศลาออกจากบริษัทด้วย
สำหรับการจ้างงาน มีรายงานจาก The New York Times ว่า CNN+ ว่าจ้างพนักงานเข้ามาทำงานมากกว่า 300 ตำแหน่ง และตอนนี้อยู่ระหว่างการโอนย้ายพนักงานของ CNN+ ไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของบริษัท และอาจมีการเลย์ออฟพนักงานที่ไม่ได้ไปต่อ โดยพนักงานกลุ่มนี้จะได้รับเงินชดเชย 6 เดือน
ขณะที่ รายการของ CNN+ ส่วนหนึ่งจะโอนไปอยู่กับ HBO Max, Discovery+ และ CNN.com ต่อไป
เหตุการณ์นี้ ทางประธานคนใหม่ของ CNN อย่าง Chris Licht บอกว่า การปิด CNN+ เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ก็เชื่อว่า นี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องหากมองถึงความสำเร็จในระยะยาวของ CNN
ผู้ชมรายวันอาจไม่ถึง 10,000 ราย
ความพิเศษของ CNN+ คือเรื่องของคอนเทนต์ที่พวกเขาบอกว่า ไม่ได้นำรายการในช่องปกติมาเผยแพร่บนแอปพลิเคชันดังกล่าว แต่เป็นการสร้างคอนเทนต์ขึ้นใหม่ และพยายามจะ Personalized ให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้ชม และทำให้ข่าวมีความ Interactive ให้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี ความพิเศษของคอนเทนต์ไม่ได้ช่วยให้ยอดสมาชิกสูงขึ้น เพราะในแง่ตัวเลขผู้สมัครสมาชิกของ CNN+ ที่คิดค่าบริการ 5.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือนนั้น มีรายงานว่าอยู่ที่ 150,000 รายเท่านั้น และคนที่เข้ามาใช้บริการจริงนั้นมีไม่ถึง 10,000 รายต่อวัน (อ้างอิงจาก CNBC)
เมื่อต้องปิดตัว ทางแพลตฟอร์มบอกว่า จะมีการคืนเงินให้ลูกค้าโดยคิดจากระยะเวลาการใช้งาน
ทั้งนี้ การตัดสินใจปิดตัว CNN+ เกิดขึ้นหลังจากการควบกิจการของบริษัทแม่อย่าง WarnerMedia กับ Discovery เสร็จสิ้น เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา โดยปัจจุบันอยู่ในชื่อ Warner Bros. Discovery และมีรายงานว่า ผู้บริหารของ Discovery ไม่พอใจกับตัวเลขผู้เข้าชมรายวันของ CNN+ ที่มีไม่ถึง 10,000 คนด้วยนั่นเอง