นับตั้งแต่ บมจ.ฟินันซ่า เข้ามาถือหุ้นใหญ่ “มั่นคงเคหะการ” ในช่วงปลายปี 2558 ได้ปรับทิศทางธุรกิจใหม่ จากเดิมที่ทำอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมาตลอด 60 ปี ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ แบรนด์ที่รู้จักดี “ชวนชื่น” ได้ขยายสู่ธุรกิจใหม่ในกลุ่ม Industrial Property และ Wellness เทรนด์ธุรกิจที่กำลังเติบโต เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ในธุรกิจ Non-real estate ลดเสี่ยงธุรกิจอสังหาฯ
“มั่นคงเคหะการ” ทำอสังหาฯ มากว่า 60 ปี เป็นผู้ประกอบการไซซ์เล็กมียอดขายปีละ 2,000 ล้านบาท ธุรกิจทำกำไรราว 30% และมีอัตราคงที่ หลัง “ฟินันซ่า” เข้ามาถือหุ้นเห็นว่าธุรกิจอสังหาฯ สร้างที่อยู่อาศัย เมื่อขายโครงการจบ ก็ต้องไปซื้อที่ดินเพื่อทำโครงการใหม่ แต่ละปีต้องทำโครงการ 12-18 โครงการ จึงมีความเสี่ยงในการขายใหม่ทุกครั้งและต้องทำวนเวียนอยู่แบบนี้
ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา “มั่นคงเคหะการ” จึงชะลอการลงทุนอสังหาฯ ระมัดระวังในการทำโครงการใหม่มากขึ้น เพราะไม่ใช่ผู้นำในตลาดและไม่มีจุดแข็งในการขาย ปี 2564 จึงไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ ส่วนปีนี้รอดูช่วงปลายอีกครั้งว่าจะเปิดโครงการใหม่หรือไม่ ปัจจุบันมีโครงการในมืออยู่แล้ว 12-15 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท ที่จะทยอยสร้างและขายในช่วง 2 ปีจากนี้
ปั้น 2 ธุรกิจใหม่สร้างรายได้ประจำ
ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลังจาก “ฟินันซ่า” เข้ามาถือหุ้นใหญ่ ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 31.5% ได้เสริมธุรกิจใหม่ในกลุ่ม Non-real estate เพื่อสร้างรายได้ประจำ (Recurring income) ใน 2 กลุ่มธุรกิจ
1. Industrial Property
อสังหาฯ สำหรับอุตสาหกรรม เป็นการสร้างโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า จากจุดแข็งประเทศไทยเป็นฐานการผลิตให้ต่างชาติในหลายอุตสาหกรรมมายาวนาน จึงมีศักยภาพการแข่งขันสูง ปัจจุบันมีการขยายฐานด้านโลจิสติกส์ตามเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ในกลุ่มนี้เป็นการลงทุนใน “โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน” ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ปัจจุบันมีพื้นที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 400,000 ตารางเมตร บนทำเลถนนบางนา-ตราด พื้นที่เขตปลอดอากร (Free Trade) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญด้านโลจิสติกส์ โดยวางเป้าขยายพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าขนาดใหญ่ให้ได้ 1,000,000 ตารางเมตร ในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุน
นอกจากนี้ได้จัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (PROSPECT REIT) เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ปัจจุบันมีทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาทในอีก 3 ปี ถือเป็นอีกธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาวและสามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอและต่อเนื่อง
2. Health & Wellness
ประเทศไทยมีศักยภาพการแข่งขันสูง ด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) สอดคล้องกับข้อมูลการจัดอันดับของ Global Wellness Institute รายงานว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยติดอันดับ 13 ของโลก อีกทั้งผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมจากการรักษาหันมาดูแลสุขภาพ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยมากขึ้น โดยมีสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่ง
– ปี 2563 “มั่นคงเคหะการ” จึงขยายธุรกิจเวลเนส ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท อาร์เอ็กซ์ เวลเนส จำกัด (RX Wellness) บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “รักษ” (RAKxa) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม (Fully Integrative Wellness & Medical Retreat) โครงการ “รักษ” อยู่บนทำเล “บางกะเจ้า” ซึ่งทั้งโครงการมีพื้นที่ 180 ไร่ เป็นพื้นที่น้ำ 60 ไร่ พื้นดิน 120 ไร่ ใช้ก่อสร้างในโครงการ “รักษ” เฟสแรก 60 ไร่ มีวิลล่าทั้งหมด 60 หลัง สร้างไปแล้ว 27 หลัง
– โครงการ “รักษ” เน้นให้บริการทางด้านสุขภาพเชิงส่งเสริมและป้องกัน โดยตั้งแต่เปิดตัวได้รับความสนใจและกระแสตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ใช้บริการชาวไทยและต่างประเทศ โดยวางเป้าหมายให้โครงการเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ระดับโลก (World-Class Medical and Wellness Destination)
– นอกจากนี้ได้ร่วมทุนกับ “ไวทัลไลฟ์ อัลไลอันซ์” บริษัทย่อยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในสัดส่วน 50:50 เปิดบริษัทเฮลท์ แอนด์ เวลเนส เวนเจอร์ จำกัด เพื่อให้บริการธุรกิจศูนย์ดูแลสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัยในโครงการ “รักษ”
เช่าโรงแรมโรสการ์เด้น 40 ปี รุกหนักธุรกิจเวลเนส
หลังเปิดตัวโครงการรักษ บางกระเจ้า ได้ 18 เดือน เดิมวางกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นชาวต่างชาติ 70% แต่จากสถานการณ์โควิดทำให้ต่างชาติยังมีข้อจำกัดในการเดินทาง คาดว่าจะเข้ามามากขึ้นหลังไทยเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ที่ผ่านมาจึงมีลูกค้าคนไทยเข้ามาใช้บริการเป็นหลัก
โดยโปรแกรมดูแลสุขภาพของ “รักษ บางกระเจ้า” สำหรับคนไทยจะเริ่มต้นพักตั้งแต่ 1 คืน (แพ็คเกจ 2 คืน ราคา 39,500 บาท) ส่วนต่างชาติพัก 5 คืนขึ้นไป ส่วนใหญ่พัก 1- 2 สัปดาห์ ราคาแพ็คเกจ 300,000-500,000 บาท ลูกค้าต่างชาติหลักในช่วงนี้เป็น ยุโรป สหรัฐฯ ตะวันออกกลาง ส่วนตลาดใหญ่อย่างจีน ต้องรอนโยบายเปิดประเทศน่าจะเข้ามาอีก 1-2 ปีข้างหน้า
คุณวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์
คุณวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหลังจากเห็นดีมานด์ในตลาดคนไทยที่มาใช้บริการใน “รักษ บางกระเจ้า” จึงต้องการขยายธุรกิจเวลเนสเจาะลูกค้าคนไทย โดยเข้าไปเช่าที่ดิน “สวนสามพราน” 20 ไร่ (จากทั้งหมด 100 ไร่) รวมทั้งโรงแรมโรสการ์เด้นท์ 2 อาคาร ระยะเวลา 40 ปี เพื่อทำเป็นโครงการรักษ วิลเลจ สามพราน (RAKxa Village Sampran)
เฟสแรกใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท ในการรีโนเวทโรงแรมทั้ง 2 อาคารใหม่ ห้องพักเฟสแรกจะมีจำนวน 60 ยูนิต และสร้างพื้นที่ส่วนกลางเพิ่ม 4,000 ตารางเมตร พัฒนาเป็นศูนย์ดูแลสุขภาพ ทั้งด้านเมดิคัล, ทรีทเมนต์, ไฮโดรเธอราพี เจาะกลุ่มลูกค้าคนไทยทุกวัย สัดส่วน 70% และต่างชาติ 30% คาดว่าจะเปิดบริการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
“การพัฒนาศูนย์สุขภาพแห่งใหม่ที่สวนสามพราน เพราะเห็นความต้องการจากตลาดลูกค้าคนไทย ที่มาใช้บริการในโครงการรักษ บางกระเจ้า มีตัวเลขเพิ่มขึ้น จึงพัฒนาโครงการใหม่ให้เข้าถึงทุกกลุ่มที่ต้องการดูแลสุขภาพ โฟกัสการส่งเสริม (Enhancement) และการป้องกัน (Prevention) ทั้งการกินอาหาร ออกกำลังกาย การพักผ่อน เป็นหลัก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Everyone’s wellness ที่เชื่อว่าสุขภาพดีเป็นเรื่องธรรมชาติและทำตามได้สำหรับทุกคน”
นอกจากนี้ได้ลงทุนธุรกิจเวลเนสต่อเนื่องในโครงการรักษ บางกระเจ้า เฟสใหม่ ในรูปแบบ “Medical Village บางกระเจ้า” เริ่มที่ 10-15 ยูนิต หากได้รับการตอบรับดีจะขยายเพิ่มขึ้น เพราะยังมีที่ดินเหลืออีก 60 ไร่ เป้าหมายเดิมจะสร้างวิลล่ารวม 200 หลัง ทั้งโครงการรักษ บางกระเจ้า และ เมดิคัล วิลเลจ บางกระเจ้า
โดยทั้ง 2 โครงการจะใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน โปรแกรมดูแลสุขภาพของเฟสใหม่ “เมดิคัล วิลเลจ บางกระเจ้า” เน้นไปที่การรักษา (Cure) และการฟื้นฟู (Restoration) สภาพร่างกายแบบเฉพาะบุคคล เป็นการดูแลต่อเนื่องในกลุ่มผู้ป่วยที่มีการรักษาจากโรงพยาบาลและต้องการออกมาฟื้นฟูร่างกายนอกโรงพยาบาล โดยใช้ศาสตร์จากตะวันตกและตะวันออกมาร่วมกับการแพทย์แบบองค์รวมท่ามกลางที่พักธรรมชาติ ตอกย้ำการพัฒนาด้านการแพทย์และเวลเนสเต็มรูปแบบ
ปี 2565 มั่นคงเคหะการ วางแผนใช้งบลงทุนรวม 3,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคลังสินค้าเช่าและเวลเนส ในปี 2564 รายได้จากธุรกิจ Non-real estate มีสัดส่วน 30% เดิมวางเป้าหมายให้มีสัดส่วน 50% แต่หลังจากเปิดตัวธุรกิจคลังสินค้าและเวลเนส พบว่าได้รับการตอบรับดี จากแผนการลงทุนทั้ง 2 ธุรกิจใหม่ในช่วง 3 ปีจากนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้จะขยับมาได้เป็น 70% ถือเป็นการทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจอสังหาฯ ที่มีความเสี่ยงสู่ธุรกิจที่ยังเป็นเทรนด์เติบโต
Photo Credit : RAKxawellness