หลังจากเมื่อช่วงปลายปี 2564 “The Pizza Company” (เดอะ พิซซ่า คอมปะนี) ในเครือ Minor Food Group (ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป) ต่อยอดกลุ่มเมนู “ปีกไก่” โปรดักต์ยอดนิยมเคียงคู่กับพิซซ่า สู่การแตก sub-brand ใหม่ “Chick-A-Boom” (ชิค-อะ-บูม) เป็นไก่ทอดสไตล์อเมริกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ถึงมาใหม่ก็ไม่ใช่ไก่แบบก่อน” เริ่มทดลองตลาดด้วยเมนู “ปีกไก่” มาพร้อมกับ “ซอส” ให้เลือก 7 รสชาติ
โดยในช่วงแรกให้บริการเฉพาะนั่งรับประทานภายในร้าน The Pizza Company Signature ที่ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์เท่านั้น ยังไม่มีบริการ Delivery กระทั่งต่อมาได้ทยอยเปิดขาย Chick-A-Boom ในสาขาของ The Pizza Company ที่เป็นรูปแบบ Restaurant กว่า 220 สาขา (จากสาขา The Pizza Company ทั้งหมด 416 สาขา) โดยให้บริการในรูปแบบ Dine-in และ Take Away
รวมทั้งต่อยอดเป็น “Chick-A-Boom Pop-up Store” (ชิค-อะ-บูม ป็อปอัพ สโตร์) จำนวน 15 สาขาภายในร้าน The Pizza Company ที่เป็นรูปแบบ Full Service Restaurant ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยออกแบบเป็น Shop in Shop เพื่อให้ลูกค้าเห็นชัดเจน เพื่อให้บริการ Dine-in
หลังจากแนะนำแบรนด์ Chick-A-Boom เข้าสู่ตลาด สร้างการรับรู้ พร้อมกับขยายช่องทางจำหน่ายเข้าไปในร้าน The Pizza Company เพื่อให้บริการรูปแบบ Dine-in และ Take Away ล่าสุด “The Pizza Company” ขับเคลื่อนแบรนด์ Chick-A-Boom สู่สเต็ป 2 นั่นคือ เปิดเมนูไก่ทอดกรอบไซส์ใหญ่ “Chick-A-Boom Big Chick” (ชิค-อะ-บูม บิ๊กชิค) ครอบบคลุมตั้งแต่ส่วนน่อง, สะโพก, อก และปีก ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ไก่กรอบแป้งคราฟต์ อร่อยเข้าเนื้อ ฉ่ำเด็ดทุกคำ” ควบคู่กับการรุก Penetrate ตลาด ด้วยการให้บริการ Delivery เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
“Chick-A-Boom” ขยับสู่สเต็ป 2 แข่งตลาดไก่ทอด 30,000 ล้านเต็มตัว!
คุณภานุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด จำกัด (มหาชน) เล่าที่มาของการพัฒนาไก่ทอดใหม่ภายใต้แบรนด์ Chick-A-Boom ว่า “The Pizza Company” เป็น King of Wings จึงได้เปิดตัว Chick-A-Boom เริ่มต้นด้วยเมนูปีกไก่ คลุกซอสพิเศษ มีให้เลือก 7 รสชาติ ถึงวันนี้ได้การตอบรับดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงาน จนกลายเป็นเมนูขายดีที่สุดของกลุ่มเมนูปีกไก่ใน The Pizza Company
“ขณะที่การเปิดตัว “Chick-A-Boom Big Chick” (ชิค–อะ–บูม บิ๊กชิค) ในครั้งนี้ ถือว่าเราเข้าสู่ตลาดไก่ทอด QSR อย่างเต็มตัว ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 30,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นไก่ทอดกรอบใหญ่ มีทั้งส่วนน่อง, สะโพก, อก และปีก
ที่มาของ “Chick-A-Boom Big Chick” มาจาก Insight ของลูกค้าคือ ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกสั่งพิซซ่าทานคู่กับเมนูไก่ เช่น ปีกไก่บาร์บีคิว, ปีกไก่ทอดสไตล์เกาหลี ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันมีฟีดแบคจากลูกค้าว่าอยากทานไก่ทอดชิ้นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นส่วนน่อง, สะโพก หรืออกไก่ ทำไม The Pizza Company ไม่ทำไก่ทอดกรอบชิ้นใหญ่ เพราะทำให้เขาต้องโทรสั่งพิซซ่า แล้วต้องโทรอีกเบอร์เพื่อสั่งไก่ทอด กลายเป็นโทรสองเบอร์ ต้องเสียค่าส่งสองรอบ
เราจึงมองเห็นโอกาสสร้างการเติบโตของแบรนด์ Chick-A-Boom เพื่อบุกตลาดไก่ทอดอย่างเต็มตัว และต่อยอดสร้างฐานกลุ่มผู้บริโภคที่มีอยู่เดิมให้มากขึ้น จึงได้พัฒนาเป็นไก่กรอบแป้งคราฟต์ Chick-A-Boom Big Chick” เข้ามาเสริมศักยภาพไลน์อาหารของกลุ่ม The Pizza Company ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
Chick-A-Boom Big Chick จำหน่ายทั้งแบบ 1 ชิ้น 45 บาท, 2 ชิ้น ราคา 89 บาท, 5 ชิ้น ราคา 219 บาท และ 10 ชิ้น ราคา 419 บาท หรือสั่งเป็นเซ็ต ราคาเริ่มต้นเพียง 119 บาท และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทานไก่ทอดกรอบๆ พร้อมกับทานพิซซ่าไปด้วย กับโปร(ไม่)ลับ เซต “เดอะ ชิค” พิซซ่าถาดกลาง หน้าคลาสสิค คู่กับไก่ชิค-อะ-บูม บิ๊กชิค 5 ชิ้น ในราคา 429 บาท
เพิ่มบริการ Delivery – ตั้งเป้าดันยอดขายไก่ทอดโต 60%
ที่ผ่านมา Chick-A-Boom ให้บริการในรูปแบบ Dine-in และ Take Away เท่านั้น แต่ในสเต็ป 2 สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ นอกจากพัฒนาเมนูใหม่ เพื่อเข้าสู่การแข่งขันตลาดไก่ QSR มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ในรูปแบบ “ไก่ทอดกรอบ” อย่างเต็มตัวแล้ว ยังได้ขยายช่องทางการให้บริการ ด้วยการเพิ่มช่องทาง “Delivery” เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
“ตอนนี้เมนูไก่ Chick-A-Boom ให้บริการผ่าน Delivery แล้ว จากเดิมขายเฉพาะ Dine-in และ Take Away ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนยอดขายโดยรวมของ The Pizza Company มาจากช่องทาง Delivery ถึง 50% ของยอดขายรวมกว่า 7,000 ล้านบาท (ยอดขายในปี 2564) ตามมาด้วย Take Away 30% โดยเราพบว่าสาขาในต่างจังหวัด ยอดขายจาก Take Away ดีกว่า Delivery เพราะคนต่างจังหวัดชอบซื้อกลับเอง และสัดส่วนยอดขายของ Dine-in 20%
จากเดิมก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 ทั้ง 3 ช่องทางการให้บริการ มีสัดส่วนที่เท่าๆ กัน แต่เมื่อเกิด COVID-19 พิซซ่าเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมที่ผู้บริโภคนิยมสั่ง Delivery แม้วันนี้ธุรกิจร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ว แต่สำหรับ The Pizza Company พบว่าลูกค้ากลับเข้าร้าน เพื่อมาใช้บริการ Dine-in เพียง 60% น้อยกว่าทั้งร้านอาหารอื่นในเครือ Minor Food เช่น Sizzler มีลูกค้ากลับมา Dine-in 80% และร้านอาหารประเภทปิ้งย่าง – หม้อไฟ
อย่างไรก็ตามเมื่อเราเห็นว่าผู้บริโภคนิยมสั่งพิซซ่าผ่าน Delivery มากกว่า Dine-in ประกอบกับที่ผ่านมา The Pizza Company ให้ความสำคัญกับช่องทางนี้มาโดยตลอด เราจึงใส่ทรัพยากรให้กับช่องทางนี้เพิ่มขึ้น เช่น งบการตลาด และแม้ทุกวันนี้จะมีแพลตฟอร์ม Food Aggregator ที่ทำให้ใครๆ ก็สามารถให้บริการ Delivery ได้ และเราก็อยู่ในแพลตฟอร์มเหล่านั้นด้วย แต่ถึงอย่างไรเรายังคงเน้นแพลตฟอร์ม Delivery ของตัวเอง เพราะสามารถควบคุมคุณภาพอาหาร, ความร้อน และความรวดเร็วในการจัดส่ง”
“The Pizza Company” คาดหวังว่าหลังจากเปิดตัวไก่ทอดกรอบ “Chick-A-Boom Big Chick” จะทำให้คนสั่งเมนูไก่ทอดเพิ่มขึ้น และจะช่วยกระตุ้นยอดขายไก่ในปี 2565 เติบโต 60% ขณะที่จำนวนสาขา The Pizza Company ปัจจุบันมี 416 สาขา มีแผนเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา รวมเป็น 421 สาขาภายในปีนี้
- อ่านเพิ่มเติม: กรณีศึกษา “The Pizza Company” อยู่มา 21 ปี พลิกโฉมแบรนด์เก่า สู่โอกาสธุรกิจใหม่-เข้าถึง Gen Z อย่างไร