หลังพบสัญญาณเปิดเมืองเต็มรูปแบบ การออกมาลุยตลาดอีกครั้งด้วยแคมเปญ #TeamAIS5G ของเอไอเอสก็เริ่มขึ้น โดยเป็นกลยุทธ์ที่ “คุณปรัธนา ลีลพนัง” หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไปของเอไอเอสบอกว่า สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้แบบ Personalized โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างชาว Gen Z ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย พร้อมยอมรับว่า การไม่มี “ลิซ่า แบล็กพิงค์” อยู่ในครอบครัวเอไอเอสในวันนี้เป็นเรื่อง “ปวดใจ” ก็จริง แต่ดีล “การควบรวม ทรู-ดีแทค” ต่างหาก ที่เป็นโจทย์สำคัญที่สุดของปี
ปิดดีล “ลิซ่า” หลังร่วมงาน 3 ปี
เรียกว่าเป็นเหตุการณ์ที่หลายคนออกมาให้ความสนใจกันพอสมควรกับการไม่ได้ไปต่อของเอไอเอส กับนักร้องดัง “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ในฐานะพรีเซนเตอร์ ที่ทางเอไอเอสเผยว่า มีการยื่นข้อเสนอเพื่อต่อสัญญาไปกับทางบริษัทต้นสังกัดของลิซ่าแล้ว แต่ทางบริษัทต้นสังกัดได้ปฏิเสธการขอต่อสัญญา เนื่องจากมีดีลกับรายใหญ่ที่มีธุรกิจเกี่ยวจากมีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับ เอไอเอส โดยคุณปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไปของเอไอเอสเผยว่า ไม่ขอพูดเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเป็นเรื่องปวดใจ (ลิซ่าร่วมงานกับเอไอเอสมาแล้วเป็นเวลา 3 ปี) พร้อมชูประเด็นเรื่องของไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันที่มีความหลากหลาย โดยมองว่า เทคโนโลยี 5G และการทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างเจาะลึกจะเป็นสิ่งที่สามารถดึงใจให้ลูกค้าอยู่ใน Ecosystem ของเอไอเอสได้อย่างยั่งยืนมากกว่า
จัดแพกเกจ DIY ตอบโจทย์ Gen Z
ทั้งนี้ เอไอเอสเผยถึงภาพรวมของฐานลูกค้ากลุ่ม New Generation ว่า เป็นกลุ่มวัยรุ่นช่วงอายุ 13 – 24 ปี โดยลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมีอยู่ประมาณ 15 ล้านราย และเอไอเอส มีส่วนแบ่งในตลาดนี้อยู่ราว 40% (ขึ้นอยู่กับจังหวัด) ซึ่งในแง่พฤติกรรม และความสนใจนั้น คุณปรัธนาเผยว่า นอกเหนือจากการเรียน ความสนใจของลูกค้ากลุ่มนี้มีความหลากหลายสูงมาก เช่น หลายคนชอบเล่นเกม บางคนเป็นสายมูฯ หลายคนชอบดูคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มต่างชาติ บ้างก็สนใจคริปโต บางคนก็ขายของออนไลน์ สร้างกิจการเป็นของตัวเอง ฯลฯ
เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความหลากหลายสูงมากนี้ เราจึงได้เห็นกลยุทธ์จำนวนมากที่ทางเอไอเอสนำออกมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแพกเกจแบบ DIY ที่ให้ลูกค้าเลือกได้ด้วยตัวเอง หรือการจัดแพกเกจ 5G ในชื่อ AIS Zeed 5G สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่มาในราคา 249 – 499 บาทให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าถึง และใช้งานเครือข่าย 5G ได้ไม่ต่างจากผู้บริโภคกลุ่มอื่น ๆ
สร้าง Avatar Park ชมคอนเสิร์ตแบบ Metaverse กับศิลปิน
ผู้บริหารเอไอเอสยังได้ยกตัวอย่าง กิจกรรมที่จัดเตรียมไว้สำหรับเจาะตลาด Gen Z ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ด้วยว่า มีหลากหลาย เช่น การจัดกิจกรรม Fanniverse Party ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ หรือการจัด Live Concert – การจัดมีทติ้งกับดารา ที่อาจเกิดขึ้นบน Metaverse อย่าง V-Avanue.co ในไตรมาสที่ 3 ของปี (โดยในตอนนี้ ทางเอไอเอสได้มีการสร้าง Avatar Park และเปิดให้คนไทยได้เข้าไปสร้างตัวตนกันได้แล้ว) และทางแพลตฟอร์มในปัจจุบันก็มี Unique Users ที่แวะมาเยี่ยมชมแล้วกว่า 3 ล้านราย
นอกจากนั้น อีกหนึ่งอีเวนท์ใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ การจัดถ่ายทอดสดการแข่งขันศึกแดงเดือดระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในรูปแบบ 360 องศา ผ่านเครือข่าย 5G ของทางค่าย ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้อย่างมากเช่นกัน
คุณปรัธนายังได้เผยว่าในอนาคต การคัดเลือก Influencer ของเอไอเอสจะไม่จำกัดแค่ศิลปินดารา แต่อาจมองหาบุคคลที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ หรือมีภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำมาร่วมงานด้วยมากขึ้น (อาจเป็น Youtuber, Game Caster เป็นต้น)
การควบรวม “ทรู-ดีแทค” คือโจทย์สำคัญที่สุดของปีนี้
คุณปรัธนา ยังได้กล่าวถึงการควบรวมของทรูและดีแทคด้วยว่า เป็นโจทย์สำคัญที่สุดของปี
“ในอุตสาหกรรมแข่งกันตลอดเวลา จริง ๆ แข่งกันมายี่สิบกว่าปี เราจึงถือว่าดีลนี้เป็นโจทย์สำคัญมากของเราในปีนี้ ส่วนที่ว่าเขาจะควบรวมกันสำเร็จหรือไม่นั้น เราไม่ได้เป็นผู้กำหนด สิ่งที่เอไอเอสกำหนดได้คือตัวเราเอง หลังจากที่เราได้เข้าประมูลคลื่น และมีคลื่นที่เข้มแข็งมาก เราก็ Roll out 5G ตามยุทธศาสตร์หลัก ผมคิดว่าเราเป็นคนเดียวในตลาดที่ลงทุนต่อเนื่อง”
ในส่วนของโครงข่าย 5G จากข้อมูลที่เอไอเอสมีการเปิดเผยคือ ขยายไปแล้วทั้ง 77 จังหวัด และมีความครอบคลุม 78% ของพื้นที่ประชากร โดยทางบริษัทตั้งใจว่าจะขยายให้ได้ถึง 85% ของพื้นที่ภายในปีนี้