แม้ว่าผู้บริโภคจะหันมาตื่นตัวกับเรื่องประกันสุขภาพมากขึ้น แต่เมื่อพูดถึงการมีประกันสุขภาพ ในสายตาคนจำนวนไม่น้อย ยังมองเป็นสิ่งไม่จำเป็น สวนทางกับการซื้อของแบรนด์เนม เดินทางท่องเที่ยว ที่จำเป็นต้องซื้อเดี๋ยวนี้ จองทริปทันที เพราะของมันต้องมี ต้องเที่ยวไว้อวดเพื่อน แต่ทราบไหมว่า หากเจ็บไข้ได้ป่วย ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลตอนนี้มีอัตราเฉลี่ยสูงขึ้นมาก แค่อุบัติเหตุเล็กน้อยมาโรงพยาบาลทำแผล ค่าแพทย์ก็ปรับขึ้นไปที่ 800-1,000 บาท จากเดิม 200 บาท ขณะที่ถ้าตรวจพบโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง ค่ารักษาพยาบาลอาจจะสูงถึงหลักล้านทีเดียว
ด้วยอินไซต์ตรงนี้เอง ทำให้ บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ AZAY ได้ออกแบบประกันสุขภาพเหมาจ่ายตัวใหม่ “สุขภาพ ปลดล็อค ดับเบิล แคร์” ที่ให้ความคุ้มครองสูงกว่าประกันสุขภาพเหมาจ่ายแบบเดิมๆ พร้อมหนังโฆษณาออนไลน์ตัวใหม่ ในคอนเซ็ปท์ “เรื่องสุขภาพ ต้องห้ามพลาด” ที่จะทำให้คนดูเอ็นจอยไปกับหนัง ผ่านการนำเสนอในรูปแบบของการรีวิวสินค้าอย่างน่าสนใจ Brand Buffet พามาดูวิธีคิดผลิตภัณฑ์ และเบื้องหลังหนังโฆษณาที่แหวกแนวชุดนี้กันว่าเป็นอย่างไร
จุดสตาร์ทไอเดีย “สุขภาพ ปลดล็อค ดับเบิล แคร์” ที่ให้ความคุ้มครอง 2 เท่า
จากความไม่แน่นอนเรื่องสุขภาพ และแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น โดย คุณพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารงานลูกค้า บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ AZAY ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันค่ารักษามีอัตราสูงขึ้นประมาณ 7% ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาประสิทธิภาพยาและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการรักษาที่มีประสิทธิผลขึ้น โดยเฉพาะโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง โรคเกี่ยวกับหัวใจ และโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง ค่ารักษาโรคเหล่านี้สูงมาก
ยกตัวอย่างมะเร็งลำไส้ การผ่าตัด 200,000 บาท/ครั้ง, การฉายรังสี 200,000 บาท/ครั้ง, เคมีบำบัด 800,000 บาท/คอร์ส, การรักษาพุ่งเป้า 1,800,000 บาท / 4-6 เดือน และภูมิคุ้มกันบำบัด 7-15 ล้านบาท ซึ่งประกันสุขภาพเหมาจ่ายแบบเดิมๆ อาจจะไม่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่มีคุณภาพสูงขึ้นในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของไอเดียในการพัฒนา “สุขภาพ ปลดล็อค ดับเบิล แคร์” เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลใจกับค่ารักษาเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยแบบไม่ทันตั้งตัว และที่สำคัญไม่ต้องหักจากเงินออมที่เก็บไว้
โดยแบบประกันสุขภาพ ปลดล็อค ดับเบิล แคร์ เป็นผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกค้ามากกว่าเดิม โดยให้ความคุ้มครองสูงสุด 8-60 ล้านบาท โดยมีทั้งหมด 3 แผน ประกอบด้วย แผน 1 วงเงินผลประโยชน์ต่อรอบปีกรรม์ 8 ล้านบาท แผน 2 วงเงินผลประโยชน์ต่อรอบปีกรมธรรม์ 15 ล้านบาท และแผน 3 วงเงินผลประโยชน์ ต่อรอบปีกรมธรรม์ 30 ล้านบาท และหากตรวจพบว่าเป็น 1 ใน 10 โรคร้ายแรงตามที่กำหนดในกรมธรรม์เป็นครั้งแรก วงเงินผลประโยชน์จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จาก 8 ล้านบาท เป็น 16 ล้าน จาก 15 ล้านบาท เป็น 30 ล้านบาท และจาก 30 ล้านบาท เป็น 60 ล้านบาท
ยุคชอบอวด “ประกัน” ก็ต้องอวดบ้าง
เมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเหมาจ่ายตัวใหม่ออกมาแก้ Pain Point ค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นแล้ว ความท้าทายต่อไปคือ การดึงความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ประกันตัวนี้ออกมาสื่อสารให้คนเข้าใจและเห็นความจำเป็นของการมีประกันสุขภาพ? คุณพัชรา จึงโยนโจทย์นี้ให้กับ คุณปภพ เชาวนปรีชา Deputy Executive Creative Director บริษัท Rabbit’s Tale
โดย คุณปภพ เล่าว่า ด้วยความเป็นการทำงานครั้งแรกด้านผลิตภัณฑ์ประกัน การทำงานจึงค่อนข้างยาก และต้องทำการบ้านมากเป็นพิเศษหลังได้รับโจทย์มา โดยเฉพาะการทำความเข้าใจกับเงื่อนไขกรมธรรม์ จากนั้นก็เริ่มหาไอเดีย ด้วยการลงพื้นที่คุยกับผู้บริโภคเพื่อหา Insight จนได้ข้อมูลว่า คนที่ให้ความสำคัญกับค่ารักษาพยาบาลส่วนใหญ่นั้นเป็นคนที่ใส่ใจสุขภาพ ขณะที่คนส่วนใหญ่อาจยังตระหนักรู้ในเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย โดยคนส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับวัตถุสิ่งของและการท่องเที่ยว เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ให้ความสุขกับตัวเองได้ จึงมักนำเงินไปลงทุนกับสิ่งของที่มีมูลค่าเหล่านี้แล้วมาอวดกัน
ดังนั้น ไอเดียแรกที่ปิ้งขึ้นมาตอนนั้น จึงอยากหยิบ “การอวดหรือการรีวิว” มาใช้กับประกันสุขภาพบ้าง เพราะถ้าสามารถนำวงเงินประกันสุขภาพมาอวดได้ น่าจะช่วยให้คนอยากมีวงเงินประกันสุขภาพเพื่อความสบายใจเมื่อเกิดการเจ็บป่วย
“เราได้คุยกับหลายคน เห็นพฤติกรรมของคนในออฟฟิศ มักนำสิ่งของมีมูลค่ามาอวดกันทุกวัน เช่น ซื้อนาฬิกา รองเท้าเท่าไหร่ แม้กระทั่งไปเที่ยวก็อวดที่พัก แต่เรื่องค่ารักษาพยาบาล คนกลับมาให้ความสำคัญกันอีกทีตอนที่ตัวเองหรือคนใกล้ตัวเจ็บป่วย และพอเห็นค่ารักษา ทุกคนก็ตกใจ จาก Insight ที่ได้มา จึงเทิร์นเป็นไอเดียจนได้ออกมาเป็นหนังโฆษณา 3 เรื่องในคอนเซ็ปท์ เรื่องสุขภาพ ต้องห้ามพลาด”
สำหรับหนังโฆษณาเรื่องแรก คือ รีวิวนาฬิกา หลายคนมองว่าการซื้อนาฬิกาเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ซึ่งการซื้อประกันเป็นการลงทุนเช่นกัน เพราะลงทุนเบี้ยประกันเพียงนิดเดียว เมื่อเทียบกับความคุ้มครองค่าใช้จ่ายโรคร้ายแรง ได้สูงกว่าหลายเท่าตัว
ตามด้วย เรื่องรีวิวอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนให้เห็นภาพของการรับบริการในโรงพยาบาลที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงในการรักษา โดยเฉพาะหากเป็นโรคร้ายแรง ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็จะสูงขึ้น ซึ่งถ้าลูกค้ามีแบบประกันดับเบิลแคร์ ก็ไม่ต้องกังวลค่ารักษา
ส่วนหนังเรื่องสุดท้ายคือ รีวิวบัตรเครดิต เป็นการเปรียบเทียบกับวงเงินประกันเหมือนวงเงินบัตรเครดิต ที่ลูกค้าจะได้วงเงินเพิ่มเป็น 2 เท่า เมื่อมีความจำเป็นในการใช้
เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่กว่าเดิม
คุณพัชรา เล่าเสริมกระบวนการทำงานในครั้งนี้ว่า ตอนแรกที่ทีมครีเอทีฟนำไอเดียนี้มาเสนอ ก็รู้สึกชอบ เพราะรูปแบบฉีกไปจากกระบวนท่าเดิมๆ จึงทำให้หลายคนที่เห็นหนังโฆษณาครั้งแรกมักคิดว่าเป็นการรีวิวมากกว่าประกัน และอีกจุดที่น่าสนใจไม่น้อยของหนังโฆษณาชิ้นนี้ คือ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่ชอบดูรีวิวและรักการลงทุน ซึ่งจะจุดประกายให้คนกลุ่มนี้เกิด Awareness เกี่ยวกับประกันสุขภาพ และเปลี่ยนมุมมองการลงทุนจากสิ่งของมาเป็นประกันสุขภาพ ที่ก่อให้ประโยชน์เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในเวลาเจ็บป่วย
“เนื้อหาหนังเข้าใจง่ายและสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตใกล้ตัวเรา หลายๆ ครั้งเรามองออกไปข้างนอก จนลืมมองข้างในว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เราพร้อมดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลแค่ไหน ทำให้เชื่อว่าหนังโฆษณาชิ้นนี้จะช่วยกระตุ้นให้คนเห็นความสำคัญของการมีวงเงินค่ารักษาและหันมาทำประกันสุขภาพมากขึ้น โดยปัจจุบันเราเพิ่งเปิดขายมาไม่ถึง 1 เดือน มีเบี้ยเข้ามาแล้วประมาณ 50-60 ล้านบาท โดยเราตั้งเป้าเบี้ยสุขภาพ ปลดล็อก ดับเบิล แคร์ สิ้นปีนี้ไว้ที่ 450 ล้านบาท”
สามารถรับชมโฆษณาทั้ง 3 ตัวได้ทาง Facebook : Allianz Ayudhya
#AllianzAyudhya #AZAY #อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต #ประกันชีวิต #เรื่องสุขภาพต้องห้ามพลาด #ดับเบิลแคร์