“สิงห์ปาร์ค เชียงราย” เดินหน้าขยายฐานการผลิต ยกระดับอุตสาหกรรมชาครบวงจรสู่จังหวัดน่าน แบ่งปันองค์ความรู้แก่เกษตรกร ควบคู่ลงทุนโรงงานผลิตชามาตรฐานสากล เสริมทัพทีมวิจัยและพัฒนา นำอัตลักษณ์ “ชาอัสสัม” เสริมฐานเดิม “ชาอู่หลง” เพื่อเสิร์ฟชารูปแบบใหม่ๆ สร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมตอบสนองทุกความต้องการลูกค้า
นายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย เปิดเผยว่า สิงห์ปาร์ค เชียงราย ถือเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกและผลิตชามานานนับสิบปี ปัจจุบันยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชาญี่ปุ่นแท้ โดย บริษัท มารุเซ็น ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด โดยโรงงานดังกล่าวเกิดจากการร่วมทุนของบริษัทฯ กับมารุเซ็น ที เจแปน ผู้ผลิตชาชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นโรงงานผลิตชานอกประเทศญี่ปุ่นแห่งแรกและแห่งเดียวในเซาท์อีสต์เอเชีย เพื่อมาช่วยพัฒนายกระดับการผลิตชาให้มีคุณภาพ และได้มาตรฐานตามแบบฉบับของประเทศญี่ปุ่นด้วย
“ความต้องการตลาดชามีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี จากกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มหมวดต่างๆ มีการขยายตัว เช่น ตลาดชานมไข่มุกโตมากในช่วง 3 ปี แนวโน้มความต้องการเพิ่ม ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการวัตถุดิบชาในประเทศขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากการนำเข้าได้รับผลกระทบด้านการขนส่ง อัตราภาษีนำเข้าสูง ผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มหรือกลุ่มฟู้ดเซอร์วิสต่างๆ หันมาใช้ชาในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้ชาของสิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าเกิดการทดลองและรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพ และด้วยความชำนาญที่สามารถผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย ตอบสนองความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงที่เป็นอัตลักษณ์ให้กับลูกค้า ในราคาที่เหมาะสม ทำให้เกิดการสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น
บริษัทฯ วางแผนการดำเนินธุรกิจชาในปี 2565-2568 ได้เพิ่มกำลังการผลิตและสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ จังหวัดน่าน มีการทำเกษตรพันธสัญญากับเกษตรในพื้นที่เพื่อเพาะปลูกชา นำอัตลักษณ์ชาท้องถิ่นคือชาอัสสัม มาวิจัยพัฒนาเป็นชารูปแบบต่างๆ ควบคุมการผลิตโดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องชาที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี เพื่อยกระดับและสร้างคุณค่าให้ชาอัสสัม ต่อยอดการผลิตชาอู่หลงที่เป็นจุดแข็งเดิมของ สิงห์ปาร์ค เชียงราย ที่มีการผลิตชาอู่หลง ที่ใช้กระบวนการผลิตให้เป็นชารูปแบบต่างๆ โดยมีทีมงานที่ชำนาญในการปรุงชาตามแบบที่ลูกค้าต้องการเฉพาะ(Tailor-made) ทั้งกลิ่น สี ความหอม รสชาติ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มเอกลักษณ์ให้กับอาหารและเครื่องดื่ม ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ(B2B)ทุกหมวด ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่ ฯ รวมถึงผู้บริโภคชาวไทย(B2C) ซึ่งมีการบริโภคมากขึ้น ทำให้ตลาดชาเติบโต
ซึ่งการขยายพื้นที่เพาะปลูกและสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดน่าน บริษัทมีการรับซื้อชาจากเกษตรกรที่เพาะปลูกชา พร้อมแบ่งปันองค์ความรู้ด้านการเพาะปลูกชาให้ได้คุณภาพเพื่อส่งเสริมให้คนในพื้นที่มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน อีกทั้งการปลูกชาอัสสัมที่ถูกวิธียังช่วยรักษาผืนป่าไม้ให้ไม่ถูกทำลาย สร้างสมดุลธรรมชาติให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบุญรอดฯ นอกจากความตั้งใจในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดผ่านสินค้าและบริการที่มีคุณภาพแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่บุญรอดฯให้ความสำคัญและปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง คือ นโยบายการตอบแทนสังคมที่มั่นคง “องค์กร ชุมชน/สังคม และสิ่งแวดล้อมต้องมีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน”
สำหรับการผลิตและแปรรูปชาอัสสัม ภายใต้โรงงานใหม่ที่จังหวัดน่าน จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชาหลากประเภท พร้อมพัฒนาชาสูตรต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าภาคธุรกิจได้แก่ ชาไทยพรีเมียม ชาไต้หวัน ที่จะนำชาอัสสัมมาผสมผสานพิเศษสำหรับเมนูชานม ชาผลไม้ ชาเขียว ชาอู่หลง และชาเขียวญี่ปุ่น