ในเวทีเสวนา Women Empowerment “พลังหญิงขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน” ที่จัดโดย SCG หนึ่งในหญิงเก่งแถวหน้า “คุณแต๋ม ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ได้มาบอกเล่าประสบการณ์การทำงาน 30 ปี ใน 3 อุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน ทั้ง ไอบีเอ็ม, ไทยคม และดุสิตธานี กับแนวคิดในการเริ่มต้นลงมือทำและนำไปสู่ความสำเร็จ เพื่อปลุกพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคน
“ศุภจี สุธรรมพันธุ์” จบปริญญาตรี จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขาการเงินและการบัญชีต่างประเทศ มหาวิทยาลัย Northrop สหรัฐฯ แม้จบการศึกษาด้านสังคมวิทยาฯ แต่ก็มีความสามารถเข้าทำงานกับ IBM บริษัทไอทีที่ส่วนใหญ่มีแต่คนจบวิศวะฯ
ตลอด 23 ปีใน IBM คุณศุภจี กลายหญิงไทย “คนแรก” ที่ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรไอทีระดับโลก โดยรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ด้วยวัย 37 ปี จากนั้นก้าวสู่ตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานธุรกิจทั่วไป IBM ASEAN และเป็นคนไทยคนแรกที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักงานใหญ่ IBM นิวยอร์ก สหรัฐฯ
เส้นทางต่อมาในปี 2554 – 2558 ก้าวสู่อุตสาหกรรมดาวเทียม ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม เป็นการทำงานที่ไม่มีความรู้ด้านนี้มาก่อน แต่ตลอดการทำงาน 4 ปี ได้พลิกไทยคมจากขาดทุนมาทำกำไรได้
ปี 2559 ถึงปัจจุบัน คุณศุภจี เปลี่ยนบทบาทอีกครั้งมาสู่อุตสาหกรรม Hospitality กับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี เป็นซีอีโอนอกตระกูลผู้ก่อตั้งองค์กร 70 ปีแห่งนี้ “คนแรก”
ประสบการณ์การทำงาน 30 ปี ใน 3 อุตสาหกรรมที่มีความแตกต่าง ได้สร้างสถิติการเป็น “คนแรก” ในแต่ละช่วงชีวิตทำงานไว้ตลอดเส้นทาง “การขึ้นเป็นคนแรก ไม่มีอะไรง่าย แต่สิ่งสำคัญคือ เราได้สร้างบทเรียนอะไรให้คนที่จะเดินตามต่อหรือไม่”
ชีวิตการทำงานที่หลากหลากและเป็นคนแรกอยู่เรื่อยๆ ทำได้อย่างไร คุณศุภจี สรุปไว้ 3 เรื่อง
1. การจะเริ่มต้นทำอะไร ต้องเริ่มจากการหา “จุดร่วม” ให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นจุดเล็กๆ ในองค์กร ประเทศ หรือภูมิภาค ในมุมธุรกิจ Purpose เริ่มจากวิสัยทัศน์ Core Value ขององค์กร เพราะผู้บริหารไม่สามารถคิดได้คนเดียว แต่ต้องคิดไปพร้อมกับทีมงาน เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในองค์กร นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องมี “เรือธง” ที่จะก้าวไปพร้อมกันทั้งองค์กร
2. การหา “ความรู้” รู้อะไรก็ไม่เท่ากับรู้ตัวเอง รวมทั้งต้องรู้เขา รู้เรา รู้ตลาด และรู้จังหวะ
– “รู้ตัวเอง” ว่ามีอะไรดี เด่น ด้อย เพราะทุกคนไม่รู้ไปทุกอย่าง การเป็นซีอีโอไอบีเอ็ม คุณศุภจี บอกว่าไม่ได้มีความรู้ด้านวิศวะฯ แต่มีความรู้ด้านการเงิน บัญชี และการดูแคคน ที่ถือเป็นจุดแข็ง ขณะเดียวกันทีมงานก็มีความรู้ด้านอื่นๆ เข้ามาช่วยเสริม ดังนั้นจึงต้องเริ่มจากการรู้จักตัวเอง รู้จักทีมงาน เพื่อหาจุดร่วมในการสร้างแผนการทำงานด้วยกันและเดินไปด้วยกันอย่างมีพลัง
– “รู้เขา รู้เรา รู้ตลาด” คือ รู้ว่า ลูกค้าเราเป็นใคร ลงลึกรายละเอียดว่าลูกค้าต้องการอะไร รู้ว่าคนที่อยู่ในตลาดเดียวกับเราเป็นใคร เพื่อส่งมอบความต้องการที่ตรงกับตลาด “ในชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ไม่เคยมองใครเป็นคู่แข่ง หรือคู่ต่อสู้”
– “รู้จังหวะ” ในเวลาที่มีวิกฤติ คนทั่วไปจะหยุดและระวังตัว องค์กรเริ่มลดคน หยุดลงทุน เพื่อรักษาสถานะขององค์กรให้ได้มากที่สุด เปรียบได้กับการ “สร้างกำแพง” แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่ “สร้างกังหัน” รอเวลาลมมา เพื่อจะได้ไปต่อข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
“เราต้องรู้จังหวะด้วยว่าเมื่อไหร่ควรเร่ง ควรผ่อน ควรหนัก ควรเบา เมื่อไหร่ควรเดินหน้า ถอยหลัง เพราะการทำธุรกิจไม่ใช่ว่าเดินหน้าทุกครั้งแล้วจะชนะตลอด บางครั้งเราอาจต้องถอยหลังหรือเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย”
3. ความรู้สึกเชื่อมั่นและมีใจ หา Passion ให้เจอว่าเราต้องการทำอะไร และทำเพื่ออะไร เมื่อเรามี Passion ก็จะทำให้มีความมุ่งมั่นไปถึงเป้าหมาย เปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอน 42 กิโลเมตร เมื่อเราวิ่งมาได้ครึ่งทางเริ่มเหนื่อย ตรงนี้หากไม่มี Passion ไปให้จบเส้นทาง ก็จะรู้สึกว่ามาทำอะไร
“การทำงานและการใช้ชีวิตก็เหมือนการวิ่งมาราธอน พอถึงจุดหนึ่งที่เราไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มี Passion ก็อยากจะออกจากลู่วิ่ง ก็เท่ากับว่าเราวิ่งไม่จบ”
ดังนั้นความมุ่งมั่น การมี Passion จะทำให้มีวินัยและทำให้ไปสู่เป้าหมายได้ อย่างเป้าหมายการเป็นซีอีโอ ดุสิตธานี คุณศุภจี บอกว่าต้องการนำความเป็นไทยด้าน Hospitality ไปให้คนทั่วโลกรู้จัก
ทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นสรุปเป็นการทำงาน 30 ปี ของคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ตั้งต้นด้วย “เรือธง” ให้ชัดว่าจะทำอะไร หาจุดร่วมกับทีมงานให้ได้ หา “ความรู้” รู้เขา รู้เรา รู้ตลาด รู้จังหวะ” จากนั้นทำด้วย Passion และความมีวินัยของตัวเอง
สิ่งที่คุณศุภจี มักพูดเสมอในการทำงานคือ “คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ร้อยเปอร์เซ็นต์จึงลงมือทำ แต่ควรลงมือทำร้อยเปอร์เซ็นต์ในสิ่งที่เรารู้”