เทรนด์อาหารในปัจจุบันที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเป็นอย่างไร? คำถามนี้คือคีย์เวิร์ดสำคัญของธุรกิจอาหารที่ผู้ประกอบการจะต้องตีโจทย์ให้แตกเพื่อให้สามารถเอาชนะใจผู้บริโภค รวมไปถึงการพัฒนาสินค้าให้ได้ประสิทธิภาพและให้ความสำคัญกับบริบททางสังคมควบคู่ไปด้วย ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารที่ต้องการยกระดับศักยภาพองค์กร
หนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจอาหารที่เข้าใจเทรนด์ผู้บริโภค และประสบความสำเร็จทางธุรกิจคือ บมจ. เบทาโกร หรือ BTG (“บริษัทฯ”) ซึ่งเป็นชื่อที่หลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการอาหารรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ซึ่งดำเนินกิจการมากว่า 55 ปีแล้ว โดยบริษัทฯ เป็นผู้นำนวัตกรรมอาหารคุณภาพและปลอดภัย รวมทั้งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าการเกษตรและอาหารแบบครบวงจร
กลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจเกษตร 24.9% กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน 68.3% กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ 5.1% กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง 1.7% และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ 0.1% (อ้างอิง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565)
ซึ่งบริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการมี Business Model ที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและบริหารต้นทุนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงมือผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ เบทาโกรมี วัตถุประสงค์ (Purpose) และความเชื่อ (Belief) ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหัวใจสำคัญคือการควบคุมคุณภาพ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยและมีราคาที่เป็นธรรม เพื่อส่งต่อให้แก่ผู้บริโภค โดยแต่ละแบรนด์ของกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน จะมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและช่องทางการขายอย่างชัดเจน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
ถึงแม้จะมีปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทฯ อาทิ การแพร่ระบาดของโรค COVID 19, สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือโรคระบาดในสัตว์ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความท้าทายที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญและพยายามในการวางมาตรการป้องกันผลกระทบดังกล่าว โดยบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ และตั้งเป้าหมายเพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
จากกลยุทธ์และแนวคิดการขับเคลื่อนธุรกิจ ทำให้เบทาโกรสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและเติบโต โดยในไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 25,311.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,966.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 149.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ล่าสุด เบทาโกรได้เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ กรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน)
โดยจุดประสงค์หลักของการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เพื่อขยายการดำเนินธุรกิจ และสร้างโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ อาทิ การเข้าซื้อหรือก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่, เพื่อชำระหนี้สินระยะสั้นและ/หรือระยะยาวให้กับสถาบันการเงินต่าง ๆ และเพื่อนำเงินไปเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินกิจการ
หากมองในมุมผู้บริโภคหรือนักลงทุนแล้ว เบทาโกรยังมีโอกาสที่จะเติบโตในอุตสาหกรรมนี้อีกมาก เนื่องจากการให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่สูง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อการบริโภคและผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง และความต้องการของตลาดทั้งในและนอกประเทศยังเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เบทาโกรจึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนมากทีเดียว
References:
– ร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนฉบับเต็มของ บมจ.เบทาโกร ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th