หากถามถึงความคุ้นเคยในการใช้งานแอปพลิเคชันกลุ่ม SuperApp ของคนไทย เชื่อว่าต้องมีชื่อของ Grab ปรากฏขึ้นมาในใจของหลายคนอย่างแน่นอน และสำหรับใครที่รู้สึกคุ้นเคยกับ Grab มานาน แต่ไม่แน่ใจว่าคุ้นเคยกันมากี่ปีแล้วนั้น จริง ๆ แล้วปีนี้เป็นปีที่ Grab อยู่ในประเทศไทยครบ 9 ปีเต็ม และกำลังจะย่างเข้าสู่ปีที่ 10 อย่างเป็นทางการ
เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นปีที่ 10 จึงต้องไม่ธรรมดา โดยในปีนี้ Grab ขอจัดใหญ่ ด้วยการออกมาประกาศวิสัยทัศน์ผู้นำในตลาด SuperApp ผ่านเวทีเสวนาเชิงนโยบายครั้งแรกในชื่อ “GrabNEXT ยกระดับประเทศไทย เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” กับ 3 แกนสำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ โดย 3 แกนสำคัญนั้นประกอบด้วย
- การทำงานแห่งโลกยุคใหม่ (Future of Work)
- การเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Inclusion)
- การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (Sustainability and Environment)
อินไซต์ของแพลตฟอร์มได้ถูกถ่ายทอดโดยคุณวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการบริหาร แกร็บ ประเทศไทย ที่เผยว่า Gig Economy คือหนึ่งในรูปแบบการทำงานยุคใหม่ (Future of Work) ที่ผู้คนมองหา และนั่นทำให้แพลตฟอร์มของ Grab มีพาร์ทเนอร์คนขับหลายแสนคนในประเทศไทย โดยในจำนวนนี้ กว่า 71% ขับ Grab เป็นอาชีพเสริม
อย่างไรก็ดี การจะสร้าง Gig Economy ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น ในมุมของ Grab เสนอว่า ต้องประกอบด้วย 5อ ซึ่งได้แก่ อิสระ, อยู่ร่วมกัน, อบรม, อุ่นใจ และอดออม ซึ่งทางบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมในประเด็นเหล่านี้เอาไว้แล้ว ทั้งในเรื่องตัวแพลตฟอร์มเองที่ให้อิสระกับพาร์ทเนอร์คนขับได้เลือกเวลาทำงานเองได้ อีกทั้งยังเปิดรับผู้คนได้ในหลากหลายรุ่น หลายเจเนอเรชั่น (เห็นได้จากพาร์ทเนอร์ของ Grab ที่มีทั้ง Baby Boomer, Gen X, Gen Y, Gen Z, LGBTQ+, ผู้พิการ และผู้สูงอายุ)
เพิ่มความหลากหลาย เปิดระบบสำหรับ “ผู้สูงอายุ”
คุณวรฉัตรกล่าวต่อไปด้วยว่า การที่สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้วนั้น ทำให้มีการคาดการณ์ตัวเลขประชากรผู้สูงอายุในปี 2040 ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 17 ล้านคน นั่นจึงทำให้ Grab ตัดสินใจพัฒนาระบบการรับสมัครให้ง่ายมากขึ้นสำหรับรองรับผู้สูงอายุเป็นการเฉพาะ รวมถึงเปิดตัวคอร์สอบรมสำหรับผู้สูงอายุที่ภายในคอร์สจะเน้นอบรมเทคนิคต่าง ๆ แบบเข้าใจง่าย เพื่อให้การเข้าถึงแพลตฟอร์มของผู้สูงอายุทำได้สะดวกมากขึ้นนั่นเอง
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Grab ระบุว่า ทางบริษัทมีพาร์ทเนอร์สูงวัยอยู่บนแพลตฟอร์มแล้วกว่า 3,700 คน และจะเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าในปีนี้
เมื่อมีความรู้แล้ว การทำงานบนแพลตฟอร์มด้วยความรู้สึกสบายใจ ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน นั่นจึงทำให้ Grab จัดเตรียมเรื่องประกันอุบัติเหตุเอาไว้ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับด้วยอีกทางหนึ่ง รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อพาร์ทเนอร์ของแพลตฟอร์ม เช่น ส่วนลดค่าอะไหล่ ส่วนลดสมาร์ทโฟน ฯลฯ
อบรมความรู้กระจายทุกแพลตฟอร์ม
คุณวรฉัตรฉายภาพต่อไปด้วยว่า ในส่วนของการอบรม ก็มีจัดโครงการ GrabAcademy หรือ Grabให้ความรู้ ซึ่งภายในเนื้อหามีกลเม็ดเคล็ดลับดี ๆ สำหรับพาร์ทเนอร์ร้านอาหาร เจ้าของร้านค้า – พาร์ทเนอร์คนขับหลายด้าน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลได้ เช่น การถ่ายภาพอาหารให้น่าดึงดูดใจ หรือการเข้าใจหัวใจสำคัญของการจัดส่งอาหาร เป็นต้น ซึ่งจนถึงวันนี้ ผู้บริหาร Grab เผยว่า มีพาร์ทเนอร์คนขับเข้ามาเรียนแล้วกว่า 4 ล้านครั้ง
นอกจากนี้ การจัดโครงการ “GrabAcademy หรือ Grabให้ความรู้ ร้านเล็กเก่งไวใน 5 นาที” ที่จับมือกับกูรูชื่อดัง เช่น คุณเฟิร์น – นัทธมน พิศาลกิจวนิช เจ้าของร้านสุกี้ตี๋น้อย, คุณบุ๋ม – บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ กูรูด้านการตลาดชื่อดัง, โค้ชหนุ่ม คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์ จากเพจ Money Coach มาจัดหลักสูตร เปิดคอร์สพิเศษให้กับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี และมี Grabการเงิน ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนหมุนเวียนกว่า 3 พันล้านบาทให้กับธุรกิจร้านค้าขนาดเล็ก – ขนาดกลางบนแพลตฟอร์มกว่า 18,000 แห่งด้วย
และสุดท้ายคือ “อดออม” อ.ตัวสำคัญที่ทางแพลตฟอร์มจะมีการส่งเสริมการออมและการลงทุนให้กับพาร์ทเนอร์คนขับ – ร้านอาหารให้มากขึ้น ผ่านโครงการต่าง ๆ นั่นเอง
หนุนโลกสีเขียว ปรับสู่การใช้รถ EV ให้ได้ 10%
ส่วนอีกหนึ่งเป้าหมายที่บริษัทได้เริ่มทำไปแล้ว และจะส่งเสริมให้มากขึ้นในอนาคตก็คือเรื่องความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม (Sustainability & Environment) ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มฟีเจอร์ ไม่รับช้อนส้อนพลาสติกในระบบสั่งอาหารของ GrabFood หรือการเปิดให้ผู้ใช้บริการร่วมสมทบเงินเพื่อการปลูกป่าเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอน และล่าสุดคือการประกาศเป้าหมายระยะยาวในการส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า (EV) โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับและพาร์ทเนอร์ส่งอาหารที่ใช้รถ EV ให้ได้ 10% ของจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับทั้งหมดภายในปี 2569 รวมถึงจัดโปรแกรมร่วมกับสถาบันการเงิน ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อสร้างสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้าให้กับพาร์ทเนอร์คนขับด้วย
แพลตฟอร์มดิจิทัล “วางตัว” อย่างไรในสังคมไทย
ในบริบทของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วนั้น อาจทำให้หลายคนมองเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งในจุดนี้ งานเสวนา GrabNEXT จึงได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และคุณณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้บริหารสถาบันอนาคตไทยศึกษา ได้กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีไว้อย่างน่าสนใจกับการบอกว่า “เทคโนโลยีคือเครื่องมือ”
“สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ Mindset และเราเห็นว่า Mindset ของ Grab คือการสร้าง Ecosystem ที่ทำให้สังคมเติบโตอย่างยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีตอบโจทย์ในเรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน โอกาสในการเข้าถึง และช่วยเพิ่มในเรื่องความโปร่งใส”
ขณะที่ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ด้าน Digital Transformation สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้แลกเปลี่ยนมุมมองในจุดนี้ด้วยว่า ภาครัฐจะต้องมีบทบาทให้มากขึ้นในการดูแล – สนับสนุนแพลตฟอร์มดิจิทัลในด้านต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนให้เกิดการใช้ Digital ID อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยทำให้การเข้าสู่โลกดิจิทัลทั้งในภาคธุรกิจ และประชาชนได้สะดวกยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า เวที GrabNEXT ในฐานะเวทีเสวนาประจำปีของ Grab ได้ฉายภาพของมุมมองต่าง ๆ ไว้ค่อนข้างครบถ้วน รวมถึงภาพในอนาคตของทิศทางที่แพลตฟอร์มจะมุ่งหน้าไปได้อย่างดี ซึ่งเชื่อว่าในปีต่อ ๆ ไป เราก็จะได้เห็นผู้นำทางความคิดทั้งในวงการเทคโนโลยีและดิจิทัลมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมอง เพื่อช่วยผลักดัน Ecosystem ของประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่ง และสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิ้งก์นี้เลย www.grab.com/th/grabnext
#GrabNEXT #GrabForGood #GrabTH #ทีมGrab