ในสมรภูมิธุรกิจประกัน “ซมโปะ ประกันภัย” ถือเป็นแบรนด์ประกันสัญชาติญี่ปุ่นขนาดกลางที่อยู่ในไทยมายาวนานกว่า 25 ปี แต่การวาง Product และ Brand Position อย่างชัดเจน ทำให้ ซมโปะ ประกันภัย แตกต่างจากคู่แข่งขันในตลาด จนเติบโตมาอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซมโปะ ประกันภัย ยังมีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แม้จะเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะในปี 2564 มีการเติบโตถึง 16%
อะไรคือ Key Success ที่ทำให้บริษัทประกันภัยสัญชาติญี่ปุ่นแห่งนี้ประสบความสำเร็จ ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจที่มีคู่แข่งยักษ์ใหญ่อยู่ไม่น้อย Brand Buffet ชวนมาทำความรู้จักแบรนด์ “ซมโปะ ประกันภัย” กันให้มากขึ้น พร้อมเจาะลึกยุทธศาสตร์การปั้นแบรนด์รุกตลาดรีเทลในไทยนับจากนี้ ที่ตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 ในแง่ Top of Mind Brand ในตลาดประกันเดินทางภายใน 5 ปี
กว่าจะมาเป็นประกันภัยเบอร์ 1 ในญี่ปุ่น
หากเอ่ยถึง “ซมโปะ ประกันภัย” ผู้บริโภคหลายคนอาจจะไม่รู้จัก หรืออาจจะรู้จัก แต่คงอยู่ในวงจำกัด แต่สำหรับองค์กรธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่ารู้จักแบรนด์นี้กันเป็นอย่างดี โดย ผศ.ชญณา ศิริภิรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SOMPO เล่าย้อนหลังถึงจุดเริ่มต้นธุรกิจให้ฟังว่า เมื่อปี 1888 หรือประมาณ 134 ปีที่แล้ว ซมโปะ ประกันภัย เริ่มให้บริการประกันอัคคีภัยในชื่อ Tokyo Fire Insurance ที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะในสมัยนั้นบ้านเรือนของคนญี่ปุ่นมักสร้างมาจากวัสดุที่ติดไฟได้ง่าย ทั้งไม้และฟาง จึงทำให้เกิดปัญหาอัคคีภัยบ่อยครั้ง หลังจากนั้นได้เริ่มขยายโปรดักต์ไลน์มาสู่การประกันภัยอื่นๆ ควบคู่ไปกับการขยายตลาดออกนอกญี่ปุ่น โดยสามารถขยายตลาดได้มากกว่า 130 ประเทศทั่วโลก จนธุรกิจเติบโตกลายเป็นบริษัทประกันภัยเบอร์ 1 ในญี่ปุ่น
สำหรับในไทย ซมโปะ ประกันภัย ได้เข้ามาปักธงธุรกิจในปี 2540 ภายใต้ชื่อ “บริษัท ไทย-ยาซึดะ ประกันภัย จำกัด” แม้ในช่วงนั้นประเทศไทยจะประสบกับวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้กระทบต่อตลาดประกันภัย โดยโรงงานและธุรกิจต่างๆ ที่นอกเหนือจากแบงก์ยังคงดำเนินธุรกิจปกติ ทั้งยังเป็นช่วงที่บริษัทจากญี่ปุ่นเข้ามาตั้งโรงงานในไทยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ความต้องการด้านการประกันภัยสูงมาก ทำให้ ซมโปะ ประกันภัยมองเห็นโอกาสและรุกเข้ามาทำตลาดในไทย
แม้จะเป็นบริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น แต่ ซมโปะ ประกันภัย ก็ยังถือเป็นน้องใหม่ในตลาดประกันภัยไทย ทำให้การทำตลาดในช่วงแรกจึงเน้นทำตลาด B2B หรือลูกค้าองค์กรที่เป็นผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ความเสี่ยงภัยโดยเฉพาะงานที่ซับซ้อนเป็นจุดแข็งสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งขันในตลาด ทำให้ธุรกิจประกันภัยของ “ซมโปะ” สามารถปักหมุด และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในปี 2545 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท สมโพธิ์ เจแปน ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” ในปี 2559 เพื่อสะท้อนถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ SOMPO Group ทั่วโลก
เปิดเกมรุก ขยับสู่สังเวียนรีเทล
ปี 2561 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ “ซมโปะ ประกันภัย” เพราะถึงรายได้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาจะมีการเติบโตเฉลี่ยเป็นตัวเลข 2 หลักก็ตาม แต่เมื่อมามองที่ฐานลูกค้า ผศ.ชญณา ยอมรับว่า จำนวนผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 20 ปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจุบันมีตลาดเกิดใหม่หลายประเทศ ดังนั้น ถ้าซมโปะ ประกันภัยต้องการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ก็ต้องพาตัวเองขยายไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่
โดยลูกค้าเป้าหมายใหม่ที่ซมโปะ ประกันภัยเลือกคือ ตลาดรีเทลหรือลูกค้ารายย่อย เพราะในญี่ปุ่น “ซมโปะ” เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากในตลาดรีเทล จึงมองว่าสามารถจะนำความเชี่ยวชาญเหล่านี้มาต่อยอดทำตลาดประกันในไทยได้ และผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ซมโปะเลือกใช้เป็นหัวหอกบุกตลาดรีเทลครั้งนี้ก็คือ “ประกันเดินทาง”
“ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทย เพราะมีทั้งวัฒนธรรม อาหาร และธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งยังเดินทางง่าย ปลอดภัย ก่อนโควิด-19 ระบาดหนัก ทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากในทุกๆปี ประกอบกับความเป็นบริษัทญี่ปุ่น จึงทำให้เราเข้าใจพื้นที่เป็นอย่างดี”
ผศ.ชญณา เล่าเหตุผลที่ตัดสินใจใช้ประกันเดินทางเป็นผลิตภัณฑ์แรกในการบุกตลาดรีเทล และด้วยความเข้าใจในพื้นที่ จึงทำให้ประกันเดินทางของซมโปะแตกต่าง โดยเป็นมากกว่า “ประกันการคุ้มครอง” แต่คือ “เพื่อนคอยดูแลตลอดการเดินทาง” ด้วยบริการเสริมที่ครอบคลุมทุกจุด ตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ขึ้นเครื่องไม่ทัน ประกันก็คุ้มครอง กระเป๋าหายก็คุ้มครอง ถึงญี่ปุ่น ท่องเที่ยวช้อปปิ้ง ก็มีแอปพลิเคชั่นคอยแนะนำร้าน พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ และหากเกิดความจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล ยังมีคอลเซ็นเตอร์ช่วยประสานงานกับแพทย์และโรงพยาบาล จนเดินทางกลับ
ในขณะที่ช่องทางการขาย ใช้ทั้งช่องทางธนาคาร และโมเดลออนไลน์ ควบคู่กับการวางราคาจำหน่ายอยู่ในระดับราคาที่เข้าถึงง่าย ทำให้ลูกค้าตอบรับตั้งแต่ปีแรกที่วางขาย จากนั้นซมโปะได้เริ่มขยายฐานไปยังตลาดประกันสุขภาพ ประกันรถยนต์ และประกันภัยบ้าน นอกจากนี้ หากมองมาที่ Brand Awareness ผลสำรวจยังพบว่า ประกันเดินทางของซมโปะ มี Brand Awareness เพิ่มขึ้น จากปี 2561 คะแนนการรับรู้แบรนด์อยู่ที่ 0.1 เท่านั้น เป็น 0.3 ในปี 2562 และเพิ่มเป็น 0.6 ในปี 2563 อีกทั้งวันนี้ยังเป็น Top 5 ในแง่ของ Top of Mind Brand ในตลาดประกันเดินทางอีกด้วย
“Japanese Quality” กุญแจความสำเร็จ “ซมโปะ” สู่การเติบโตมากว่า 25 ปี
ถ้าพูดถึงตลาดประกันภัยในประเทศไทย นับเป็นตลาดใหญ่โดยมีเบี้ยประกันภัยรวมหลายแสนล้านบาท และแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพราะเต็มไปด้วย Player กว่า 60 ราย และแต่ละรายอยู่ในตลาดมานาน ทั้งยังมี Brand Awareness และช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง แล้ว “ซมโปะ ประกันภัย” ทำอย่างไรถึงผลักดันให้กลายเป็นแบรนด์ประกันที่ลูกค้าไว้วางใจมาตลอด 25 ปี
ผศ.ชญณา บอกว่า หนึ่งในหัวใจสำคัญคือ ผลิตภัณฑ์ประกันมีความแตกต่างด้วย “คุณภาพ” ที่ถูกใจกลุ่มลูกค้า ด้วยวิธีคิดที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดในแบบญี่ปุ่น หรือ Japanese Quality พร้อมกับความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ความเสี่ยงภัยโดยเฉพาะงานเทคนิค และมีความซับซ้อน เช่น รถไฟฟ้า งานอิเล็กทรอนิกส์ และการประกันพืชผล ทั้งยังลงทุนด้าน “นวัตกรรม” ทั้งระบบหลังบ้าน และเทคโนโลยีในการสำรวจภัยและวิเคราะห์ความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น ดาวเทียม และโดรน ทำให้เข้าใจถึงความเสี่ยงของลูกค้า และสามารถประเมินความเสี่ยงได้อย่างประสิทธิภาพ
“บางทีลูกค้าตอบไม่ได้ว่าความเสี่ยงของโรงงานเขาอยู่ตรงไหน เราต้องนั่งคุยกับลูกค้าเพื่อช่วยแกะความเสี่ยงของเขาออกมา จากนั้นก็นำมาปั้นเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อไปตอบความต้องการ”
ทำให้ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ “ซมโปะ” จึงมาจากลูกค้ารายใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นองค์กรธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 75% และลูกค้ารีเทลอยู่ที่ 25% จากเดิมที่สัดส่วนรายได้มากจากลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งแบ่งเป็นประกันไฟไหม้ ประกันภัยการเดินเรือ ประกันพืชผล และประกันภัยขนส่ง
ก้าวต่อไปคือ Top of Mind ประกันเดินทาง
3 ปีกับการก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ Top 5 ของตลาดประกันเดินทาง อาจจะเป็นตัวเลขที่เติบโตอย่างรวดเร็วและสวยงาม แต่เมื่อมองมาที่การรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภค ผศ.ชญณา บอกว่า ถึงวันนี้ซมโปะ ประกันภัยมีการรับรู้แบรนด์ยังน้อย เพราะเพิ่งจะเข้ามาบุกตลาดรีเทลได้ไม่นาน ทำให้ยุทธศาสตร์หลังจากนี้ วางแผนรุกตลาดรีเทลเพิ่มขึ้น เพื่อก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ประกันภัยที่เรียบง่าย แต่ใส่ใจทุกรายละเอียด โดยเฉพาะประกันเดินทาง ที่วางเป้าหมายขึ้นเป็นแบรนด์ Top of Mind ของลูกค้า โดยเริ่มจากประเทศญี่ปุ่นก่อน และต่อไปเมื่อคิดจะเดินทางไปประเทศไหนต้องนึกถึง “ซมโปะ ประกันภัย”
โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะติดสปีดให้ซมโปะก้าวไปถึงจุดนั้นได้คือ การเพิ่มฐานลูกค้า โดยจะเน้นคนรุ่นใหม่ที่เดินทางท่องเที่ยวเอง เพราะคนกลุ่มนี้เป็นเจเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีความเป็นผู้นำและมักเลือกประกันเอง รวมทั้งพัฒนาขั้นตอนการซื้อให้ง่ายขึ้นด้วย เพราะพฤติกรรมการซื้อประกันเดินทางของผู้บริโภคกลุ่มนี้ จะให้ความสำคัญ 2 เรื่องคือ ความน่าเชื่อถือขององค์กร และความสะดวกสบาย
“สิ่งสำคัญของการทำแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนคือ การสร้างประสบการณ์แบรนด์กับผู้บริโภค โดยจะเน้นประสบการณ์ตรงจากการเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นและมีประกันเดินทางของเรา เพราะเมื่อลูกค้าเกิดประสบการณ์ที่ดี จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจและกลายเป็นลูกค้าประจำ มิหนำซ้ำยังแนะนำบอกต่อไปยังลูกค้าใหม่ๆ ต่อไป”
กว่า 3 ปีกับการรุกตลาดรีเทล ผศ.ชญณา บอกว่า สองตลาดนี้มีความยากแตกต่างกัน โดยตลาด B2B ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ความเสี่ยง ในขณะที่ตลาด B2B ต้องไวและปรับตัวให้เร็ว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้เปลี่ยนเร็ว มีทางเลือกมากมาย หากไม่พอใจ พร้อมจะเปิดใจรับแบรนด์ใหม่ทันที แต่สิ่งที่ทั้ง 2 ตลาดเหมือนกันคือ คุณภาพการบริการ หากคุณภาพไม่ได้ตรงกับความต้องการ ก็ยากที่แบรนด์จะเข้าไปนั่งในใจลูกค้าได้
“สถานการณ์ตลาดประกันในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ยังคงเติบโต โดยผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจสุขภาพและมองถึงความคุ้มค่ามากขึ้น ทำให้ประกันสุขภาพมีแนวโน้มขยายตัวสูง ส่วนประกันเดินทางจะค่อยๆ กลับมาฟื้นตัวกลับมา ส่งผลให้การแข่งขันย่อมสูงขึ้นด้วย ซึ่งทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา โดยเฉพาะการนำ Data มาช่วยในการวิเคราะห์ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการประกันได้ครอบคลุมและตรงกลุ่มเป้าหมาย”
จากความเชี่ยวชาญ บวกกับคุณภาพผลิตภัณฑ์และการบริการที่แตกต่างนี่เอง ที่ทำให้แบรนด์ประกันภัยสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง “ซมโปะ ประกันภัย” ประสบความสำเร็จ จนเติบโตกว่า 2 ทศวรรษ และพร้อมจะก้าวสู่การเติบโตบนเส้นทางใหม่ต่อไป