Kellogg ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่มีอายุกว่า 116 ปีเดินมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้วอีกครั้ง โดยทางซีอีโออย่าง Steve Cahillane ได้ออกมาประกาศว่า Kellogg จะแยกตัวออกเป็น 3 บริษัท โฟกัสธุรกิจขนบขบเคี้ยว, ซีเรียล และอาหารจากพืช (Plant-based) และทั้ง 3 บริษัทจะบริหารงานแยกขาดจากกัน โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2023 หรือใช้เวลาประมาณหนึ่งปีครึ่งนับจากนี้
การออกมาประกาศแยกบริษัทครั้งนี้ ส่งผลให้หุ้นของ Kellogg ปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที 8% โดยทาง Steve Cahillane บอกว่า ทั้งสามธุรกิจล้วนแล้วแต่มีศักยภาพในการเติบโตด้วยตัวเองทั้งสิ้น แต่ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า ทั้ง 3 บริษัทจะมีชื่อใหม่ว่าอะไร รวมถึงหน้าตาของทีมบริหารใหม่ในอีก 2 บริษัทที่จะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกของปี 2023
เรื่องเดียวที่มีการยืนยันแล้วก็คือ Steve Cahillane ซีอีโอของ Kellogg จะกุมบังเหียนธุรกิจขนมขบเคี้ยวต่อไป ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ทำรายได้สูงสุดของ Kellogg ในตอนนี้ ส่วนธุรกิจซีเรียล และ Plant-Based ในตลาดอเมริกาเหนือนั้น มีรายได้รวมกันประมาณ 20% ของรายได้ทั้งหมด
เปิดรายได้ 3 ธุรกิจ Kellogg
สำหรับการแตกออกเป็น 3 บริษัทนั้น มีการเปิดเผยตัวเลขรายได้ที่ทั้ง 3 ธุรกิจทำได้ในปี 2021 ออกมาดังนี้
- ธุรกิจขนมขบเคี้ยว (ชื่อที่อาจใช้ในการเปิดตัวบริษัทใหม่คือ Global Snacking) ทำรายได้ประมาณ 11,400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยธุรกิจดังกล่าวถือเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุด และมีอาณาเขตครอบคลุมตลาดขนมขบเคี้ยว – ตลาดซีเรียลทั่วโลก, รวมถึงธุรกิจบะหมี่ และตลาดอาหารเช้าแช่แข็งในอเมริกาเหนือ ซึ่งแบรนด์ที่จะอยู่ภายใต้บริษัทดังกล่าวได้แก่ Pringles, Cheez-It, Pop-Tarts และ RXBAR
- ธุรกิจซีเรียลในอเมริกาเหนือ (ชื่อที่อาจใช้ในการเปิดตัวบริษัทใหม่คือ North America Cereal Co.) ธุรกิจนี้ทำรายได้ให้ Kellogg ราว 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 และหากแยกเป็นบริษัทใหม่ ก็จะเข้าไปดูแลตลาดซีเรียลในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา และตลาดในคาบสมุทรแคริบเบียน
- ธุรกิจ Plant-based (ชื่อที่อาจใช้ในการเปิดตัวบริษัทใหม่คือ Plant Co.) ธุรกิจนี้ทำรายได้ 340 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 และมีสินค้าเรือธงคือแบรนด์ MorningStar Farms ซึ่งคาดว่าการแตกเป็นบริษัทใหม่จะทำให้ธุรกิจ Plant-based ของ Kellogg สามารถมองหาโอกาสในการระดมทุนได้สะดวกขึ้น
เชื่อว่าเลือกเวลาได้เหมาะสม
Kellogg ยังบอกด้วยว่า การเลือกแตกทั้ง 3 ธุรกิจออกเป็นบริษัทที่เป็นเอกเทศ แยกออกจากนั้นในตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะจะทำให้ทั้ง 3 ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเองได้ รวมถึงสามารถตั้งเป้ารายได้ที่สอดคล้องกับตลาดที่รับผิดชอบ และมองหาโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Plant-based ที่มีศักยภาพเติบโต ขณะเดียวกันเมนู “ซีเรียล” ซึ่งเป็นธุรกิจกิจหลักเดิมของบริษัทกลับเติบโตลดลงเนื่องจากพฤติกรรม on the go ของผู้บริโภค และมีตัวเลือกอื่นๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่สามารถเป็นรายได้หลักเพียงอย่างเดียวของบริษัทได้แล้ว ปรากฏการณ์ที่บ่งชัดว่า Kellogg มองหารายได้ใหม่ ก็เช่น การซื้อกิจการ มันฝรั่ง Pringles เพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจขนมขบเคี้ยวให้มากขึ้น ตั้งแต่ปี 2012
นอกจากนั้น การแยกตัวออกเป็น 3 บริษัทยังทำให้การบริหารงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถตัดสินใจเรื่องวัตถุดิบ – ทรัพยากร – การลงทุนได้ด้วยตัวเองด้วย ซึ่งในกรณีนี้อาจหมายถึงปัญหาด้านซัพพลายเชนที่กำลังเป็นปัญหาไปทั่วโลก และหากบริษัทต้องยึดโยงกับภาพใหญ่ก็อาจทำให้การผลิตไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้นั่นเอง
สำหรับสำนักงานใหญ่ของทั้ง 3 บริษัทใหม่นั้น คาดว่าจะยังคงอยู่ที่เดิม นั่นคือธุรกิจซีเรียลและ Plant-based จะอยู่ที่รัฐมิชิแกน ส่วนธุรกิจขนมจะอยู่ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา