แอปเปิล (Apple) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2022 (สิ้นสุดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2022) พบทำรายได้แตะ 8.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.01 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิของไตรมาสนี้ลดลงเหลือ 19,442 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่เคยทำได้ 21,744 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2021
รายได้จาก “จีน-ญี่ปุ่น” ลดลง
สำหรับที่มาของรายได้ พบว่า Apple ทำรายได้จากตลาดอเมริกา – สหภาพยุโรป – เอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น ส่วนรายได้จากจีนแผ่นดินใหญ่ และญี่ปุ่นปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ โดยเฉพาะในจีนที่มีมาตรการรับมือกับ Covid-19 ที่เข้มงวด และมีการปิดเมืองขนาดใหญ่เป็นเวลานาน ซึ่งการที่ผู้คนไม่สามารถออกมาช้อปปิ้งได้นั้นย่อมกระทบกับยอดขายของ Apple อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ดี ยอดขายจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ปรับตัวลดลงนั้นก็ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้จากทาง FactSet ว่า ตลาดจีนอาจทำรายได้ให้ Apple ในไตรมาสนี้ราว 13,790 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อเปิดตัวเลขออกมาก็พบว่าทำได้ที่ 14,604 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์พอสมควร
รายได้กลุ่ม Services แตะ 1.9 หมื่นล้านเหรียญ
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากยอดขาย สินค้าที่ทำรายได้ให้ Apple มากที่สุดยังคงเป็น iPhone โดยทำยอดขายได้ทั้งสิ้น 40,665 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือ สินค้ากลุ่ม Services เช่น Music, Apple TV+, Games ฯลฯ ที่ทำรายได้ไปถึง 19,604 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2021 ถึง 2,118 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนสินค้าที่เหลืออย่างกลุ่ม Wearable, Mac และ iPad ต่างทำรายได้ใกล้เคียงกัน คือราว 7,000 – 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
Luca Maestri ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (CFO) ของ Apple กล่าวว่า “ผลประกอบการไตรมาสเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นถึงความสามารถของบริษัทในการบริหารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะแวดล้อมที่มีความท้าทาย เราทำสถิติใหม่ของรายได้ประจำไตรมาสเดือนมิถุนายน และจำนวนผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานในตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในทุกภูมิภาคและกลุ่มผลิตภัณฑ์”
“ในไตรมาสนี้เรามีเงินสดหมุนเวียนเกือบ 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เราสามารถคืนเงินแก่ผู้ถือหุ้นได้มากกว่า 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว”
ผลประกอบการ Apple สะท้อนอะไรในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน
หากเป็นปีที่เศรษฐกิจไม่มีปัญหา อาจกล่าวบอกว่า การแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ของ Apple อาจไม่ได้รับความสนใจมากเท่ากับผลประกอบการไตรมาส 1, 2 และ 4 อย่างไรก็ดี สำหรับในปีนี้ที่ทั่วโลกเผชิญปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง รวมถึงความกังวลว่าจะเกิดสถานการณ์ recession หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกา ก็ทำให้นักวิเคราะห์ และนักลงทุนต่างให้ความสนใจผลประกอบการไตรมาส 3 ของ Apple กันเป็นพิเศษ และมองว่า ผลประกอบการของ Apple ในเวลาที่ทั่วโลกเจอปัญหาดอกเบี้ยพุ่ง เงินเฟ้อสูง จะเป็นตัวชี้วัดถึงภาวะเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะภาพของตลาดระดับบน
ไม่เพียงเท่านั้น ผลประกอบการของ Apple ยังสามารถสะท้อนสภาพเศรษฐกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ได้ เพราะ Apple มีทั้งโรงงานผลิตสินค้า และมียอดขายจากจีนเป็นจำนวนมาก ต่างจากบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นของสหรัฐอเมริกาที่ไม่ได้เข้าไปมีตัวตนในจีนมากเท่า ในการแถลงผลประกอบการครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สามารถสะท้อนได้ว่า เศรษฐกิจในจีน โดยเฉพาะกำลังซื้อนั้นยังคงมีอยู่ หรือว่าถดถอยลงไปนั่นเอง
สิ่งที่นักวิเคราะห์รอฟังจาก Apple อีกเรื่องหนึ่งก็คือ คาดการณ์ไตรมาสหน้า โดยเฉพาะในยอดขายสมาร์ทโฟนและพีซี ที่เริ่มขายได้น้อยลง เพียงแต่ Apple ได้รับผลกระทบน้อยกว่ารายอื่น เนื่องจากผู้ซื้อส่วนใหญ่ของแอปเปิลเป็นกลุ่มผู้ซื้อระดับบน ซึ่งถ้า Apple เองออกมาให้สัญญาณว่า ตลาดพีซี และสมาร์ทโฟนเริ่มจะเติบโตช้า ก็เป็นไปได้ว่า กำลังซื้อจากระดับบนเองก็คงเริ่มมีปัญหาแล้วเช่นกัน และนั่นอาจสะท้อนภาพว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอยอย่างแท้จริง และถ้าภาวะเศรษฐกิจโลกจะเริ่มถดถอย Rod Hall จาก Goldman Sachs ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเริ่มจากสหภาพยุโรป เนื่องจากมีปัจจัยอย่างอัตราเงินเฟ้อสูง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างมาก
บริษัทเทคโนโลยีโตต่อ vs บริษัทโฆษณารายได้ลด
หากมองในภาพรวม การเติบโตของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีอยู่ เห็นได้จากการประกาศผลประกอบการของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google, Microsoft, Texas Instrument รวมถึง Apple ในวันนี้ โดยบริษัทกลุ่มนี้เอง ที่กำลังเป็นความหวังของสหรัฐอเมริกาในการช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ยังดูสดใส
ส่วนบริษัทที่บอกว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยี แต่ทำรายได้จากค่าโฆษณาเป็นหลัก เช่น Twitter, Snap และ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกันที่จะมีผลประกอบการ – มูลค่าหุ้นลดลง เห็นได้จากผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Twitter ลดลง 1% (ทำรายได้ไปทั้งสิ้น 1.18 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ 11% ขณะที่ Snap ก็เจอภาวะหุ้นร่วง 25% เนื่องจากทำรายได้ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เช่นกัน
นอกจากนั้น ในวันเดียวกันกับที่ Apple แถลงผลประกอบการ ทาง Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram ฯลฯ ก็ได้เปิดเผยตัวเลขรายได้ของไตรมาสล่าสุดออกมาแล้ว โดยพบว่า ไตรมาสนี้เป็นไตรมาสแรกที่ Meta ทำรายได้ลดลง เหลือ 28,820 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดไปราว 1% จากไตรมาสเดียวกันของปี 2021 ส่วนกำไรสุทธิลดลง 36% เหลือ 6,690 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาร์ค ซักเคอร์เบิร์กบอกว่า มาจากตลาดโฆษณาที่หันมาเริ่มรัดเข็มขัด
นอกจากนี้ เขายังคาดการณ์ด้วยว่า ในไตรมาสต่อไปอาจเป็นช่วงที่รายได้ของ Meta อาจเติบโตช้าลง และเป็นช่วงที่บริษัทอาจต้องเริ่มรัดเข็มขัดจำนวนพนักงานในองค์กรด้วย
จะเห็นได้ว่าในช่วงเฟื่องฟู การประกาศตัวว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีนั้นสามารถทำได้โดยง่าย แต่ในภาวะวิกฤติ สิ่งที่สร้างมาจะเป็นตัวชี้วัดได้เองว่า บริษัทเทคโนโลยีที่แท้จริงควรจะผ่านภาวะวิกฤติไปได้ด้วยเทคโนโลยีที่สร้างมา ส่วนใครที่ยังผ่านไปไม่ได้ นี่ก็อาจเป็นเวลาที่ดีในการทบทวนเส้นทางของบริษัทได้เช่นกัน