หลัง 2 บิ๊กกิจการโทรคมนาคม “ทรู-ดีแทค” ประกาศดีลควบรวมกิจการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ถึงปัจจุบันยังไม่มีบทสรุปจาก กสทช.หน่วยงานกำกับดูแลว่าจะให้ดำเนินการไปในทิศทางไหน
กรณีการขอควบรวมกิจการ “ทรู-ดีแทค” ถือเป็นดีลใหญ่ในประวัติศาสตร์กิจการสื่อสารของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมามีคำถามในสังคมว่าจะส่งผลกระทบกับผู้บริโภคอย่างไร จะทำให้เกิดการผูกขาดธุรกิจหรือไม่ และเป็นผลดีอย่างไรต่อเศรษฐกิจและประเทศ ตลอดจน กสทช. มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรือไม่
ดังนั้นเพื่อไขข้อสงสัยและสื่อสารกับสาธารณะบนหลักฐานและข้อเท็จจริง สำนักงาน กสทช. จึงได้จัดทำข้อมูลเรื่อง “5 Facts กรณีควบรวมทรู-ดีแทค” สรุปได้ดังนี้
1. ดีลนี้เป็นครั้งแรกที่มูลค่าทรัพย์สินและรายได้ตกกับ “บริษัทควบรวม” สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การควบรวมกิจการด้านการสื่อสารของประเทศ มีสินทรัพย์ที่ได้จากผู้รับใบอนุญาตรายอื่นมูลค่าเกิน 875 ล้านบาท, รายได้ต่อปีเกิน 2,000 ล้านบาท, มูลค่าสินทรัพย์เกิน 14,000 ล้านบาท
ดีลนี้อาจส่งผลให้ “รายใหม่” เข้ามาแข่งขันในตลาดได้ยากขึ้น ที่สำคัญกรณีนี้แตกต่างอย่างชัดเจนจากการขอรวมธุรกิจในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการรวมธุรกิจระหว่างผู้รับใบอนุญาตที่เป็นบริษัทในกลุ่มหรือเครือเดียวกัน หรือเป็นการรวมที่มีสินทรัพย์ไม่เกินวงเงินที่กฎหมายกำหนด รวมถึงกรณีที่เป็นการควบรวมของรัฐวิสาหกิจ CAT กับ TOT เป็น NT ตามมติ ครม.
2. ประสบการณ์การควบรวมกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในต่างประเทศ มีทั้งที่อนุญาตแบบมีเงื่อนไขเข้มข้นมากและไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการขอควบรวมจาก 4 ราย เหลือ 3 รายใหญ่
พบว่าแทบไม่มีประเทศใดเลยที่เป็นการควบรวมจาก 3 ราย เหลือ 2 รายใหญ่อย่างประเทศไทย เว้นแต่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ควบรวมเหลือ 2 รายแล้ว ผ่านไป 10 ปี จึงมีรายที่ 3 เข้าตลาดมาใหม่
ส่วนประเทศนอร์เวย์ ปรากฏว่ามีรายใหม่เข้าสู่ตลาดพอดีในช่วงที่มีการขอควบรวม หน่วยงานกำกับดูแลจึงบังคับผู้ขอควบรวมให้ขายโครงสร้างพื้นฐานและขายฐานลูกค้าให้กับผู้ประกอบการรายใหม่ ในประเทศนอร์เวย์จึงยังคงมีผู้ให้บริการในตลาดที่ 3 รายเหมือนเดิม
3. ระยะเวลาในการพิจารณาการควบรวมกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในต่างประเทศที่ผ่านมา มีตั้งแต่ใช้เวลา 3 เดือน จนถึงไม่กำหนดกรอบระยะเวลา ซึ่งประเทศเหล่านั้นเป็นการขอรวมธุรกิจจากผู้ประกอบกิจการ 4 ราย เหลือ 3 ราย
ส่วนของประเทศไทยเป็นการขอรวมธุรกิจจาก 3 ราย เหลือ 2 ราย จึงอาจจำเป็นต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ปัจจุบันสำนักงาน กสทช. ขอขยายระยะเวลาในการปรับปรุงแก้ไขรายงานฯ ตามข้อสั่งการของที่ประชุมที่ให้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ กสทช. พิจารณาในขั้นสุดท้าย
4. ผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ที่ กสทช. แต่งตั้งขึ้นภายใต้ Roadmap เพื่อพิจารณาดีลการควบรวมนี้ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2565
– คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายชี้ว่า กสทช. มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาต ตลอดจนกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้มีการกระทำที่เป็นการผูกขาด ลดการแข่งขัน โดยกำหนดเงื่อนไขเท่าที่จำเป็น
– คณะอนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์พบว่า มีความเป็นไปได้ที่ผู้ขอรวมธุรกิจจะมีแรงจูงใจในการขึ้นค่าบริการหลังควบรวมสำเร็จ ผู้เล่นรายใหม่จะเจออุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดยากขึ้น GDP จะลดลงราว 0.05% – 1.99% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.05 – 2.07%
– คณะอนุกรรมการด้านเทคโนโลยี เห็นว่ากรณีการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้รวมธุรกิจมีผลดี/ผลเสียแตกต่างกัน และผู้ประกอบการที่มีโครงข่ายและคลื่นน้อยที่สุดจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
– คณะอนุกรรมการด้านผู้บริโภค เห็นว่าไม่ควรให้ควบรวม แต่หากให้มีการควบรวม ก็ควรมีการกำหนดเงื่อนไขและมาตรการ ทั้งเงื่อนไขกำกับในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กำหนดให้มีการกระจายการถือครองคลื่นความถี่ เสาโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐาน มีการกำหนดค่าตอบแทนการใช้โครงข่ายที่เป็นธรรม
ตลอดจนกำหนดเงื่อนไขกำกับด้านพฤติกรรมของผู้ประกอบกิจการ เช่น การบริการและคุณภาพไม่ต่ำกว่าเดิม รายการส่งเสริมการขายที่หลากหลาย พื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุม พัฒนาขยายโครงข่าย 5G ฯลฯ เพื่อเป็นมาตรการหลักประกันในการให้และรับบริการในด้านต่างๆ ไว้ไม่น้อยกว่าเดิม
5. สำนักงาน กสทช. ได้จ้างศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบด้านต่าง ๆ จากการรวมธุรกิจ “ทรู-ดีแทค” โดยขอบเขตอำนาจทางกฎหมายเห็นว่า กสทช.มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขัน
ในส่วนมาตรการเชิงโครงสร้างและพฤติกรรมเห็นว่า กสทช.ควรมีการเรียกคืนคลื่นความถี่การถือครองที่มากเกินความจำเป็นและควรมีการกำกับดูแลอัตราค่าบริการ กำหนดสัดส่วนการลงทุนของผู้ประกอบการด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อรายได้ รวมทั้งกำหนดความครอบคลุมของพื้นที่การให้บริการ (Coverage)
สำหรับการพิจารณาดีลควบรวม “ทรู-ดีแทค” ของ กสทช. ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 บอร์ด กสทช. ได้ลงมติ “ยืดเวลา” ตัดสินออกไปอีก 30 วัน