เรียกว่าเป็นการปรับตัวที่รวดเร็วทีเดียวสำหรับค่าย Nissan กับการเปิดโมเดลใหม่สำหรับธุรกิจรถ EV โดยปรับสู่การเช่าใช้เป็นรายเดือน ซึ่งโมเดลนี้จะเปิดให้บริการเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น
สาเหตุที่ทำให้ Nissan ตัดสินใจเปิดธุรกิจเช่ารถ EV แทนที่จะขายขาดให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของ “แร่ที่เป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่รถ EV” เช่น โคบอลท์ ลิเธียม นิกเกิล ซึ่งที่ผ่านมา พบว่า สถานการณ์ความตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างประเทศ อาจทำให้การเข้าถึงแร่เหล่านี้ทำได้ยากมากขึ้น และอาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาขาดแคลนในอนาคตได้ ดังนั้น หากปรับโมเดลเป็นการเช่าใช้ Nissan ก็จะสามารถนำแบตเตอรี่กลับมารียูสได้ใหม่ ซึ่งถือเป็นการลดต้นทุนให้กับ Nissan และป้องกันความเสี่ยงในอนาคตที่จะตามมาได้ด้วย
ส่วนเหล็กที่มากับแบตเตอรี่นั้น มีรายงานว่า Nissan มีแผนจะนำเหล็กที่ได้จากกระบวนการรีไซเคิลไปผลิตรถด้วยอีกต่อหนึ่ง ซึ่งแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญให้ทัศนะว่า เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยากในการแยกเหล็กออกจากส่วนอื่น ๆ ของแบตเตอรี่ แต่ไม่ว่าอย่างไร การบริหารจัดการด้านแบตเตอรี่ให้ได้นั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำตลาดรถ EV ในทศวรรษหน้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ
ผลิตรถ EV ทำไมต้องเกรงใจจีน
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก International Energy Agency เมื่อปี 2021 ชี้ว่า ประเทศที่ครอบครองแร่โคบอลท์ ลิเธียม นิกเกิล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่รถ EV นั้น อยู่ในหลายประเทศ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา รัสเซีย ชิลี ออสเตรเลีย จีน รวมถึงสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศหลักที่มีการนำแร่เหล่านั้นมาเข้ากระบวนการ Process ก็คือ “จีน” ซึ่งหากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีปัญหา การจะเข้าถึงแร่หายากเหล่านี้ก็อาจมีอุปสรรคมากกว่าในอดีต
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ การรายงานของสื่อตะวันตกอย่าง Bloomberg ที่ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รถ EV ยักษ์ใหญ่จากจีน Contemporary Amperex Technology เตรียมประกาศยกเลิกการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในสหรัฐอเมริกาแล้ว เพื่อตอบโต้การเดินทางไปเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวกระทบต่อบริษัท เทสล่า (Tesla) และฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor) ที่มีความต้องการแบตเตอรี่โดยตรง แถมยังตัดโอกาสการจ้างงานนับหมื่นตำแหน่งที่จะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ส่วนการเปลี่ยนโมเดลมาเป็นเช่าอาจมีผลต่อรายได้ของ Nissan ไม่มากนัก เพราะปัจจุบัน ยอดขาย 89% ของ Nissan มาจากนอกประเทศญี่ปุ่น หรือกรณีของรถ EV อย่าง Nissan Leaf ที่สามารถขายได้ทั่วโลกถึง 577,000 คัน แต่รถรุ่นดังกล่าวขายได้ในญี่ปุ่นเพียง 10,000 คันเท่านั้น