บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR สรุปครึ่งปีแรก 2565 มีรายได้ขายและบริการ 388,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.9% กำไรสุทธิ 10,413 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.1% ปัจจัยภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด
รายได้หลักมาจากกลุ่ม Mobility 326,787 ล้านบาท สัดส่วน 90.8% กลุ่มธุรกิจ Global 26,180 ล้านบาท สัดส่วน 6.6% กลุ่มธุรกิจ Lifestyle 10,060 ล้านบาท สัดส่วน 2.5%
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2565 มีรายได้ขายและบริการ 211,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% และกำไรสุทธิ 6,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
โดยหลักมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในหลายประเทศรวมทั้งไทย การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ขณะที่อุปทานยังตึงตัวจากสถานการณ์คว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศส่งออกน้ำมัน
รายได้ขายและบริการของ OR ทุกกลุ่มธุรกิจปรับเพิ่มขึ้น โดยปริมาณขายกลุ่ม Mobility และกลุ่มธุรกิจ Global มีปริมาณการขายน้ำมันเพิ่มขึ้น 2% และ 2.4% ตามลำดับ ส่วนกลุ่ม Lifestyle มีรายได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
กลุ่ม Mobility ครึ่งปีแรก 2565 มีสถานบริการน้ำมัน PTT 2,103 สถานี เพิ่มขึ้น 76 สาขา, EV Station PluZ 112 แห่ง เพิ่มขึ้น 81 แห่ง, สถานีบริการ LPG 234 แห่ง เพิ่มขึ้น 20 แห่ง, ศูนย์บริการยานยนต์ Fit Auto 78 สาขา
ครึ่งปีแรก Cafe Amazon ขายได้ 174 ล้านแก้ว
กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ครึ่งปีแรก 2565 มีร้าน Cafe Amazon 3,452 สาขา เพิ่มขึ้น 276 สาขา ร้านเท็กซัส ชิคเก้น 98 สาขา เพิ่มขึ้น 17 สาขา ร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น และจิฟฟี่ 2,092 สาขา เพิ่มขึ้น 74 สาขา
ร้าน Cafe Amazon ไตรมาส 2 ปีนี้ มีปริมาณการขาย 91 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 30% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่จำนวน 70 ล้านแก้ว และมีปริมาณการขายครึ่งปีแรกอยู่ที่ 174 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 31 ล้านแก้ว หรือ 21.7% จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังโควิด
รายได้ขายและบริการ ช่วงครึ่งปีแรกของกลุ่ม Lifestyle อยู่ที่ 10,060 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.5% มาจากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม 6,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.8% และธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ 3,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%
ปี 2565 ลงทุน 40,494 ล้านบาท โฟกัสกลุ่มธุรกิจ Lifestyle
ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา OR ได้เข้าลงทุนและร่วมลงทุนในหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าลงทุนในบริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (KNEX) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบอุตสาหกรรม รวมถึงประกอบกิจการร้านสะดวกซัก ภายใต้แบรนด์ Otteri Wash & dry
รวมทั้งได้เข้าลงทุนใน บริษัท โพลาร์ แบร์ มิชชั่น จำกัด (freshket) ซึ่งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการระบบห่วงโซ่อุปทานด้านอาหาร (Food Supply Chain Service) อีกทั้งยังได้ร่วมกับบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด (บุญรอดฯ) จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่าย
OR ได้ทบทวนแผนการลงทุนในปี 2565 ใหม่จากเดิมมูลค่า 26,949 ล้านบาท เพิ่มเป็น 40,494 ล้านบาท แบ่งได้ดังนี้
– กลุ่มธุรกิจ Mobility จาก 9,002 ล้านบาท ลดลงเหลือ 6,863 ล้านบาท
– กลุ่มธุรกิจ Lifestyle จาก 6,876 ล้านบาท เพิ่มเป็น 22,116 ล้านบาท
– กลุ่มธุรกิจ Global จาก 4,374 ล้านบาท เพิ่มเป็น 6,156 ล้านบาท
– กลุ่มธุรกิจ Innovation & New Business จาก 3,768 ล้านบาท ลดลงเหลือ 3,280 ล้านบาท
– อื่นๆ จาก 2,929 ล้านบาท ลดลงเหลือ 2,079 ล้านบาท
การทบทวนแผนการลงทุนปี 2565 ส่วนใหญ่เป็นการปรับแผนการร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle และ Global ที่มีการพิจารณาโอกาสในการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาประมาณ 2-3 โครงการ
กลุ่มธุรกิจที่ OR เข้าไปร่วมทุนแล้ว สรุปได้ดังนี้
กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (เข้าลงทุนผ่าน Modulus Venture)
– ร้านอาหารโอ้กะจู๋ เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 20%
– ร้านอาหารญี่ปุ่น โคเอ็น ซูชิ เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 25%
– ร้านเครื่องดื่มชา Kamu Kamu เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 25%
– ลงทุนในบริษัท Peaberry Thai (ร้านกาแฟ Pacamara) ในสัดส่วน 81%
– ร่วมลงทุน ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม ร่วมลงทุนกับ บจ. บุญรอดฯ ก่อตั้งบริษัทใหม่ในสัดส่วน 50%
กลุ่มธุรกิจบริการ
– ร้านสะดวกซัก Otteri (อ๊อตเทริ) เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 40%
– บริการขนส่ง Flash Express เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 8.8%
กลุ่มสตาร์ทอัป (เข้าลงทุนผ่าน ORZON Ventures)
– Pomelo แพลตฟอร์มและแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น
– Carsome แพลตฟอร์มซื้อ-ขายรถยนต์มือสองออนไลน์
– GoWabi แพลตฟอร์มบริการทางด้านความงามและสุขภาพ
– Protomate ผู้พัฒนาฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยี AI สัญชาติไทย
– Hungry Hub แฟลตฟอร์มจองร้านอาหาร และโรงแรมชั้นนำ
– Hangry สตาร์ทอัปด้านอาหารพัฒนาระบบ Cloud Kitchen
– Freshket แพลตฟอร์มจำหน่ายวัตถุดิบอาหารครบวงจร (เข้าลงทุนผ่าน Modulus Venture และ ORZON Ventures)
กลุ่มการท่องเที่ยว
– Traveloka แพลตฟอร์มออนไลน์สัญชาติอินโดนีเซียสำหรับจองที่พักและเที่ยวบินออนไลน์ (เข้าลงทุนผ่าน SG HoldCo)
กลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัล
– ORBIT Digital พัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (เข้าลงทุนผ่าน Modulus Venture)
กลุ่มพลังงาน
– Global Aero Associates (GAA) บริการระบบน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ร่วมลงทุนกับ BAFS ในสัดส่วน 45%
– Phnom Penh Aviation Fuel Service (PPAFS) บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานในพนมเปญ ร่วมลงทุนกับ CNAF และ TOTAL ในสัดส่วน 33.33% (เข้าลงทุนผ่าน SG HoldCo)
การจัดตั้งกองทุนและลงทุนผ่านกองทุน
– ORZON Ventures กองทุนเพื่อการลงทุนในสตาร์ทอัปด้าน Lifestyle และ Mobility ที่มีศักยภาพและสามารถเติบโตร่วมกันกับ OR
– Finnoventure Private Equity Trust I กองทุนเพื่อการลงทุนในสตาร์ตอัปด้าน Fin-tech, e-Commerce, Automotive
– SeaX Fund II กองทุนเพื่อการลงทุนในสตาร์ทอัปที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech)
การลงทุนในธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม และบริการต่าง ๆ นอกจากจะเป็นการสร้างพันธมิตรกลุ่ม Lifestyle ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้มีพื้นที่แสดงความสามารถและร่วมเติบโตไปด้วยกันกับ OR เพื่อให้ผลประโยชน์ในท้ายที่สุดถูกส่งต่อไปยังผู้คน สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
อ่านเพิ่มเติม
- OR วิชั่น 2030 ลงทุน 2 แสนล้าน เดินหน้า M&A พันธมิตรขยายธุรกิจ Lifestyle พาแบรนด์ไทยโกอินเตอร์
- OR ตั้งบริษัทร่วมทุน ‘บุญรอด’ ลงทุน 400 ล้าน บุกธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม Ready to Drink ต่อยอด ‘คาเฟ่ อเมซอน’