นับเป็นหนึ่งความภาคภูมิใจของภาคธุรกิจไทย เมื่อกลุ่มทรู หรือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สามารถบันทึกชื่ออันดับ 1 ไว้ในสมุดพกแห่งความดีระดับโลก ด้วยการเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลกที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดอย่าง DJSI หรือ Dow Jones Sustainability Indices ต่อเนื่องมาถึง 5 ปีซ้อน (2017 – 2021)
ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนไทย เทียบชั้นมาตรฐานโลก
ความท็อปฟอร์มของกลุ่มทรูปีล่าสุดคือ สามารถทำคะแนนรวมได้สูงที่สุดของโลกถึง 93 คะแนน จากทั้ง 10,900 บริษัท ใน 61 อุตสาหกรรม พร้อมรักษาแชมป์ผู้นำด้านความยั่งยืนโลกในหมวดธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม (Industry Leader) ครองแชมป์ยาวนานต่อเนื่องสูงสุดถึง 4 ปีซ้อน (2018 – 2021) ซึ่งยังไม่เคยมีบริษัทโทรคมนาคมใดทำได้มาก่อน รวมทั้งรักษาสถานภาพสมาชิกความยั่งยืนระดับสากลของยุโรป FTSE4Good 2022 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ด้วยคะแนนรวมสูงสุดของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโลก ปี 2022 ไว้ได้อีกเวทีหนึ่งด้วย
การสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่บน 2 เวทีความยั่งยืนระดับโลกครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้โลกยอมรับแค่กลุ่มทรูเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความตระหนักของภาคธุรกิจไทย ต่อบริบทและกติกาที่เปลี่ยนแปลงไปของโลก นำมาสู่การปรับตัวให้ตอบโจทย์ธุรกิจในโลกใหม่ ที่ไม่สามารถมองแค่ตัวเลขผลกำไร แต่ต้องสามารถส่งมอบคุณค่าระยะยาว หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้ผู้คนและสังคม รวมทั้งการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมไปพร้อมกัน
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทรู คว้าตำแหน่งผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลกมาได้ มาจากการขับเคลื่อนธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งกับสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้องค์กรธุรกิจปัจจุบันสามารถเผชิญกับความท้าทายจากภัยคุกคามรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม พลังงาน ความเหลื่อมล้ำ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่สามารถเติบโตได้เพียงลำพัง แต่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย
“การอยู่ในเวทีระดับโลกอย่าง DJSI หรือ FTSE4Good เปรียบเสมือนการมี Checklist เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงไปทุกปี ช่วยให้เรามองเห็นเทรนด์โลกเพื่อปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที รวมทั้งมีการประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่ามิติไหนที่แข็งแรงดีแล้ว มิติไหนที่ยังสามารถปรับปรุงเพื่อลดความเสี่ยงได้อีก และรักษาความเป็นผู้นำได้ต่อเนื่อง ผ่านการศึกษา Best Practice ระดับโลก ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั่วโลกในการลงทุนกับธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มความสามารถในการสร้าง Brand love ให้สูงขึ้น เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงานได้มากขึ้น”
ส่งมอบคุณค่า 3 มิติ ‘Heart Health Home’
เครือเจริญโภคภัณฑ์ วางนโยบาย 3 ประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งสร้างประโยชน์ต่อประเทศที่เข้าไปทำธุรกิจ ต่อประชาชน และต่อบริษัท ขณะที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มทรู ไม่ได้จำกัดตัวเองแค่การเป็นธุรกิจโทรคมนาคม แต่มีเป้าหมายทรานสฟอร์มสู่ Technology Company เพื่อส่งมอบคุณค่าจากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำของกลุ่มเปราะบางให้สามารถเข้าถึงการศึกษาที่ดี สุขภาพที่ดี รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพื่อช่วยรักษาและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านยุทธศาสตร์ 3H’s ทั้งมิติธุรกิจ (Heart) สังคม (Health) และสิ่งแวดล้อม (Home) ประกอบด้วย
Heart : มิติทางธุรกิจ ทั้งการขยายเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพครอบคลุม สร้างความมั่นใจและไว้วางใจให้ผู้ใช้งาน โดยเฉพาะการดูแล Data Privacy และ Cyber Security ซึ่งเป็นวาระที่ทุกฝ่ายมีความกังวลอย่างมาก ทรูจึงมุ่งรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลลูกค้าทั้ง 100% ป้องกันการละเมิด Human Right โดยปัจจุบันทรูมี Network Reliability Satisfaction 99.8% พร้อมสนับสนุนนวัตกรรมให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและตลาด ผ่านการส่งเสริมสตาร์ทอัพ 4,019 คน รวมถึงการให้ความสำคัญในการสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านดิจิทัล เพื่อรู้เท่าทัน Fake news และการปลูกฝังจริยธรรมและความโปร่งใสในการทำธุรกิจผ่านนโยบาย No Give เพื่อป้องกันการทุจริตในองค์กรด้วย
Health : มิติทางสังคม ด้วยการพัฒนานวัตกรรมให้ตอบโจทย์ยุค New Normal ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม TRUE VWORLD เพื่อสนับสนุนการทำงานยุค Mobility เพิ่มโอกาสเข้าถึงข้อมูลความรู้ การศึกษา การมีสุขภาพที่ดี เช่น ทรูปลูกปัญญา VLearn และคอนเน็กซ์อีดี ช่วยให้เยาวชนกว่า 5.7 ล้านคน เข้าถึงระบบการศึกษาที่ดี พร้อมสร้างความเท่าเทียมในกลุ่มเปราะบาง เช่น เข้าไปพัฒนาการเรียนรู้กลุ่มออทิสติก สร้างความตระหนักเรื่องความเท่าเทียม และวางกรอบให้ 25% ของยอดขายในอนาคตจะต้องมาจากสินค้า บริการหรือนวัตกรรม ที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้คน
Home : มิติทางสิ่งแวดล้อม กลุ่มทรูวางเป้าหมายเป็นองค์กร Carbon Neutral ในปี 2030 และ Net Zero ในปี 2050 รวมทั้งการลดปริมาณขยะฝังกลบจากการดำเนินงานเป็นศูนย์ ในปี 2030 ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนมิติอื่นๆ เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่เสาสัญญาณและชุมสายเพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด โดยปี 2021 ที่ผ่านมา มีการติดตั้งรวม 3,481 แห่ง ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 12,570 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมมีแผนขยายการติดตั้งต่อเนื่อง ซึ่งในการดำเนินการจะพยายามรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละพื้นที่ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดไปพร้อมกัน
“ทรูเปรียบได้กับ Digital Infrastructure จึงสามารถนำนวัตกรรมด้านดิจิทัลเข้าไปสนับสนุนธุรกิจในเครือ ทั้งการพัฒนาด้าน e-Logistics หรือ Smart Retail Management ให้ธุรกิจรีเทล การนำ Data Analytics ไปช่วยวิเคราะห์ความต้องการลูกค้าแต่ละรายให้กลุ่มอาหาร ส่วนภาคการเกษตร สามารถใช้ระบบ IoT สนับสนุนการทำสมาร์ทฟาร์มมิ่ง เพื่อควบคุมระบบน้ำ และการจัดการภายในฟาร์ม ซึ่งนอกจากใช้ในเครือ CP แล้ว สามารถนำไปจัดการน้ำให้เกษตรกรเพื่อแก้ไขปัญหาเรื้อรังในภาคเกษตรของไทย ที่ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอได้ตลอดทั้งปี ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกรและศักยภาพการแข่งขัน แต่หากนำระบบสมาร์ทฟาร์มมิ่งเข้าไปใช้ จะช่วยเพิ่ม Productivity ดีขึ้น 50-200% ขณะที่รายได้เกษตรกรจะเพิ่มขึ้น 300-400% ซึ่งพื้นที่ 1 ไร่ จะสามารถสร้างรายได้เทียบเท่ากับพื้นที่ 5 ไร่เลยทีเดียว”
ส่วนการขับเคลื่อนตามเป้าหมาย กลุ่มทรูวาง 5 แนวทาง ประกอบด้วย 1. การสร้างความตระหนักรู้ และความร่วมมือกันทั้งองค์กร ภายใต้ความโปร่งใส เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้ 2. การขับเคลื่อนด้วย Market Mechanism เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำสามารถเชื่อมโยงกันได้ 3. การขับเคลื่อนจากผู้นำทุกระดับขององค์การ ทั้งการสร้างความตระหนักรู้และทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง 4.การเปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถ (Talent) ทั้งในองค์กร รวมทั้งกลุ่มสตาร์ทอัพนำเสนอไอเดีย หรือนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ และ 5.การเปิดรับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ เพื่อช่วยบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สัญญาณครอบคลุม ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความเท่าเทียม
ทรูยังถือเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกที่ขยายเครือข่ายได้ครอบคลุมทั้งประเทศ ผ่านโครงการ “True The First Mover and Best User Experience at Hot Spots” โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังไม่เคยมีสัญญาณจากค่ายใดมาก่อน ซึ่งปัจจุบันทรูมีเครือข่ายสัญญาณครอบคลุมผู้ใช้งานครอบคลุม 98% ประชากรทั้งประเทศ ขณะที่การยกระดับพื้นที่ให้บริการ 5G คาดว่าจะครอบคลุมได้ 99% ภายในสิ้นปีนี้
คุณอดิศักดิ์ ประสงค์ทรัพย์ ผู้อำนวยการบริหารด้านโครงการเชิงยุทธศาสตร์ ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรูมีความมุ่งมั่นในการขยายสัญญาณให้ครอบคลุมมาโดยตลอด ตั้งแต่การขยาย 3G 4G จนมาถึง 5G ทั้งสัญญาณทรูมูฟเอช และทรูออนไลน์ เพราะมองเห็นความสำคัญของการเข้าถึงการสื่อสารของผู้คนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะบางพื้นที่ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ทรูพร้อมที่จะลงทุนเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการสื่อสารได้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะในยุค New Normal ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในเมืองหรือต่างจังหวัดก็ตาม
“บางพื้นที่อาจมีความยากลำบากในการขยายสัญญาณเข้าไป แต่ทรูพยายามหาโซลูชันส์ที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถเข้าไปตั้งสถานีฐานได้สำเร็จ โดยการขยายสถานีฐานแต่ละครั้งจะคำนึงถึงแนวทางการประหยัดพลังงานควบคู่ไปด้วย เพราะบางพื้นที่อาจจะมีปริมาณไฟฟ้าจำกัด ขณะที่การขยายโครงข่ายจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างมาก ทรูจึงได้มีการนำโซลาร์เซลล์มาติดตั้งไว้ที่สถานีฐาน พร้อมทั้งการติดตั้งแบตเตอรี่เพื่อเก็บประจุไฟฟ้าให้สามารถรองรับการใช้งานได้ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง รวมไปถึงการติดตั้งเครื่องจ่ายไฟฟ้าหรือเจนเนอเรเตอร์ ที่นอกจากจะช่วยสำรองการทำงานให้กับสถานีแล้ว ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่ที่อาจมีปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยได้อีกด้วย”
การมีเครือข่ายสัญญาณที่ครอบคลุม ช่วยนำมาซึ่งช่องว่างความเหลื่อมล้ำที่ลดลง จากคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งพื้นที่ห่างไกลบางแห่ง มีทั้งโรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล หรืออาจจะเป็นพื้นที่เขตทหารตามแนวชายแดน การมีเครือข่ายการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ ทั้งในการส่งต่อข้อมูลความรู้เพื่อให้กลุ่มเด็กด้อยโอกาสมีการศึกษาที่ดีขึ้น การช่วยดูแลสุขภาพของผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงระบบการรักษาที่มีคุณภาพได้ รวมไปถึงการเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและรายได้ของผู้คนในพื้นที่ได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยเติมเต็มทางด้านจิตใจให้ผู้คนหรือเจ้าหน้าที่จิตอาสา เช่น ทหาร ตำรวจ ครู หมอ พยาบาล ที่ต้องห่างไกลครอบครัว เพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นเปราะบางทั่วประเทศ สามารถติดต่อกับครอบครัว เพื่อส่งมอบความสุข ความห่วงใย เติมกำลังใจให้ทุกคนสามารถปฏิบัติงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่ต่อไป ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรวัดความสำเร็จ ที่นอกเหนือไปจากการมีสัญญาณที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
แม้แต่การนำศักยภาพของเครือข่ายมาเชื่อมต่อเข้ากับระบบ IoT และการทำงานควบคู่กับเจ้าหน้าที่เพื่อใช้ในภารกิจปฎิบัติการต่างๆ เช่น ภารกิจด้านการดูแลความมั่นคงของประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบเพื่อช่วยเฝ้าระวังการลักลอบขนยาเสพติดตามเขตแนวชายแดน หรือระบบติดตามมอนิเตอร์ช้างป่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า ช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือช้างที่ต้องอยู่ภายในพื้นที่เดียวกัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งภารกิจในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
“คำว่า ‘ผู้นำ’ อยู่ที่ความสามารถในการเข้าถึงในหลายๆ พื้นที่ที่ไม่มีใครเข้าไปหรืออาจมองข้าม โดยผลสำเร็จที่ได้จะมีมากกว่าแค่การได้มาร์เก็ตแชร์ในธุรกิจเพิ่มขึ้นเท่านั้น การที่ทรูมีโอกาสลงพื้นที่เพื่อขยายเครือข่ายการให้บริการไปทั่วประเทศ ทำให้มีโอกาสรับรู้ถึงปัญหา และพฤติกรรมการใช้งานที่แตกต่างกันของผู้คนแต่ละพื้นที่ นำมาสู่การวางกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์ การยกระดับปรับปรุงคุณภาพของสัญญาณ รวมทั้งการบำรุงรักษา เพื่อให้เครือข่ายของทรูมีประสิทธิภาพพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา การที่เราอยู่ในพื้นที่ที่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลา ทำให้เราอาจไม่ได้มองว่าการสื่อสารสำคัญมากเพียงใด แต่ในบางพื้นที่หรือในบางกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน การเข้าถึงคุณภาพการสื่อสารที่ดี อาจหมายถึงการรักษาชีวิตของใครคนหนึ่งไว้ได้เลยทีเดียว”
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ทางกลุ่มทรู มองว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสำหรับการขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต เพราะยังมีความท้าทายหลากหลายด้านที่ยังต้องเผชิญทั้งจากบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงเป้าหมายในการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่บริษัทด้านเทคโนโลยี ที่ต้องพร้อมรับทั้งการแข่งขันจากคู่แข่งทั่วโลก รวมทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเองที่ต้องก้าวตามให้ทัน ขณะเดียวกันต้องไม่หยุดที่จะใช้ศักยภาพที่มีเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำที่ยังคงมีอยู่ เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันให้ผู้คนทุกกลุ่มได้อย่างต่อเนื่อง