ปฏิเสธไม่ได้ว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาช้านาน (และทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น) อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดของ Covid-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหดหายไปอย่างมาก การกลับมาเปิดเมืองอีกครั้งของประเทศไทยในปีนี้ จึงเป็นทั้งความหวังและโอกาสครั้งใหม่ของบรรดาผู้ประกอบการที่ยังคงเหลือรอด
แต่การจะผลักดันให้นักท่องเที่ยวหลักล้านคนเดินทางไปแต่หัวเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ – ภูเก็ตก็คงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการเติบโตที่ยั่งยืน เพราะในอีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยยังมี “เมืองรอง” ที่ต้องการรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าไปสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอยู่เช่นกัน
ล่าสุดจึงมีการจับมือกันของดีแทค, คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ, บุญมีแล็บ และคณะกรรมการดิจิทัลเพื่
สิ่งที่ได้จากการวิจัยนี้คือสิ่งที่เมืองรองต้องรู้ เพื่อนำไปใช้ในการปรับตัว – ปรับวิธีคิด รวมถึงสามารถนำไปกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดให้ตอบโจทย์นักเดินทางได้มากขึ้นนั่นเอง
เปิดแผนผัง “คนเดินทาง”
สำหรับการวิจัยดังกล่าวเป็นการใช้ Mobility data แบบไม่ระบุตัวตนของดีแทคระหว่างเดือนมิถุนายน 2563 ถึงตุลาคม 2564 โดยพบว่า ผู้เดินทางในภาพรวม เป็นเพศชายราว 40% เพศหญิงราว 35% และไม่ได้ระบุเพศ 25% โดยส่วนใหญ่มีถิ่นพำนักในกรุงเทพฯ ถึง 54%
ทั้งนี้ นักเดินท่องเที่ยว 47% มีอายุระหว่าง 21-40 ปีหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ตามด้วยวัยกลางคน (41-60 ปี) มีสัดส่วนที่ 35% วัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) 14% และวัยเด็กและเยาวชน (ต่ำกว่า 20 ปี) ที่ 4%
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงลักษณะนักท่องเที่ยวในช่วงการระบาดโควิด-19 พบว่ามีลักษณะเป็นการเดินทางแบบพักค้างถึง 67% และการเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับ 33%
ผลจากการใช้ Mobility Data
สิ่งที่ Mobility Data สามารถให้ได้นั้นมีหลายด้าน เช่น
- ภาพของการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยว ในสถานที่ – ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ โดยสามารถเจาะลึกได้ถึงระดับตำบล ยกตัวอย่างการแสดงผลในภาพ ที่สามารถชี้ให้เห็นว่า ในวันที่ 13 เมษายน 2564 ระหว่างเวลา 06.01 – 10.00 น. การกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในเชียงใหม่ – ลำพูน และลำปางเป็นอย่างไร
- ใช้ในกรณีของการวัดผลความสำเร็จของการจัดอีเวนท์ เช่น อีเวนท์เขาใหญ่ Big Mountain
- ใช้ในกรณีต้องการทำความเข้าใจพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย เช่น การท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ เป็นต้น
ลอยกระทง vs บั้งไฟพญานาค นักท่องเที่ยวค้างคืนในอีเวนท์ไหนมากกว่ากัน
หากไม่มี Mobility Data คำตอบของคำถามด้านบนอาจไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนมายืนยัน แต่ผลจากการใช้ Mobility Data ของดีแทค ทำให้เราพบความจริงว่านักท่องเที่ยวมีการพักแบบค้างคืนที่จังหวัดสุโขทัย เพิ่มขึ้นถึง 331% ในเทศกาลเผาเทียน เล่นไฟ ซึ่งในอนาคต ทางจังหวัดสามารถนำไปวิเคราะห์ และวางแผนเพื่อสร้างรายได้เข้าจังหวัดในอีกหลาย ๆ ด้านได้เช่นกัน
รู้จักจุดเด่น 55 เมืองรอง
สำหรับการวิจัย ทางทีมคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บุญมีแล็ป และดีแทค ได้ทำการศึกษาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของเมืองรองใน 3 ด้าน นั่นคือ
- ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวแบบไปกลับ
- ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวแบบค้างคืน
- ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัด
และผลที่ได้เป็นดังนี้
จะเห็นได้ว่า แต่ละจังหวัดมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน โดยบางจังหวัดอาจเหมาะสำหรับการพักค้างคืน บางจังหวัดอาจเหมาะสำหรับการเดินทางไปกลับ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า Mobility Data เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ “55 เมืองรอง” ในวันที่ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลักนั่นเอง
3 แนวทาง สร้างการท่องเที่ยวเมืองรอง “เติบโต”
ทีมวิจัยยังได้ได้นำเสนอแนวทางในการสร้างการเติบโตด้านการท่องเที่ยวให้กับเมืองรองทั้ง 55 จังหวัด โดยแบ่งออกเป็น 3 แนวทาง ได้แก่
1. การท่องเที่ยวแบบ micro Tourism
มีรูปแบบการเดินทางเป็นแบบไป-กลับ ในระยะการเดินทาง 1 – 2 ชม. หรือ 150 กิโลเมตร โดยคนที่ให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวแบบนี้คือคนกลุ่มเพื่อน – คู่รักที่มีอายุระหว่าง 18 – 24 ปี และกลุ่มครอบครัวที่มีอายุระหว่าง 45 – 64 ปี
สำหรับจังหวัดที่มีศักยภาพในการเติบโตแบบ Micro Tourism จากผลการศึกษาชิ้นนี้ ได้แก่
2. การท่องเที่ยวแบบค้างคืนที่สร้างประสบการณ์ใหม่
สำหรับการท่องเที่ยวแบบค้างคืนที่สร้างประสบการณ์ใหม่ ถือเป็นการท่องเที่ยวที่มีข้อดีมากมาย เนื่องจาก การพักค้างสามารถทำได้รายได้ได้สูงกว่าแบบไปกลับ อีกทั้งยังทำให้นักท่องเที่ยวได้สานสัมพันธ์กับชุมชน และสามารถสร้างฐาน Fanbase ให้กับเมืองได้ด้วย โดยปัจจุบันพบว่ามีผู้ประกอบการนำแนวทางต่าง ๆ มาใช้มากขึ้น เช่น การปรับรถให้เป็นบ้านพัก หรือการจัดกิจกรรมกับชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ โดย 21 เมืองรองที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้แก่
3. การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์
สุดท้ายกับการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์คือการท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัด หรือก็คือเดินทางไปหลายจังหวัดในทริปเดียว โดยนักท่องเที่ยวจะใช้เวลา 2.5 – 3 วันต่อทริป ซึ่งหากมีการรวมตัวกันของเมืองรอง จะสามารถพัฒนาเส้นทาง และกิจกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าพักในแต่ละจังหวัดได้นานขึ้น และสามารถกระจายรายได้ให้กับจังหวัดต่าง ๆ ได้มากขึ้นนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอาจไม่ใช่ Dump Pipe อย่างที่หลายคนเคยพูดกัน ตรงกันข้าม พวกเขาคือผู้ที่ถือครองข้อมูลที่มีศักยภาพอย่าง Mobility Data มาช้านาน เพียงแต่ที่ผ่านมา เราอาจยังไม่เห็นภาพการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากนัก ซึ่งก็หวังว่า การริเริ่มครั้งนี้ของดีแทค, คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ, บุญมีแล็บ และคณะกรรมการดิจิทัลเพื่