สะเทือนตลาดเครื่องดื่มแอกอฮอล์และสาวกบรั่นดีเมืองไทยอยู่ไม่น้อย หลังบรั่นดีไทยเป็นขวัญใจคอทองแดงไทยมายาวนานอย่าง “รีเจนซี่” ประกาศ ปรับขึ้นราคาในช่องทางค้าปลีก-ค้าส่ง โดยทยอยแจ้งแก่ผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา ตามรอยเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมอย่าง “เบียร์” และ “เหล้าขาว” ต่างทยอยปรับขึ้นราคามา ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา
การประกาศปรับขึ้นราคาของ “รีเจนซี่” ในครั้งนี้ แม้จะยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นนโยบายของบริษัทโดยตรงหรือไม่อย่างไร แต่จากการสำรวจ พบว่าหลายร้านค้าเริ่มมีการทยอยปรับขึ้นราคามาตั้งแต่ช่วงปลายเดือน สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา
ช่องทางค้าปลีกปรับราคาขึ้นราคา 50-100 บาทต่อขวด (แบน/กลม)
หลังจาก BrandBuffet สำรวจราคาขายปลีกใหม่ของ “รีเจนซี่” ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน (16 กันยายน 2565) พบว่า หลังทางเอเย่นหลายราย เริ่มทยอยแจ้งร้านค้าขายส่งขนาดใหญ่ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยถึงการปรับราคาระลอกใหม่อีกครั้ง ซึ่งแต่ละร้านค้าจะมีการปรับราคาขายที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ แต่เบื้องต้นจะมีการปรับขึ้นตั้งแต่ 50-100 กว่าบาท
- รีเจนซี่ แบบแบน ขนาด 350 มล. ปรับขึ้นเป็น 420-450 บาท (จากเดิมราคา 340-350 บาท)
- รีเจนซี่ แบบกลม ขนาด 500 มล. ปรับขึ้นเป็น 520-550 บาท (จากเดิมราคา 480 บาท)
- รีเจนซี่ แบบกลม ขนาดใหญ่ 700 มล. ปรับขึ้นเป็น 820-850 บาท (เดิมราคา 750 บาท)
ช่องทางค้าส่งปรับขึ้น 1,000 บาทต่อลัง
ขณะที่ในช่องทางค้าส่งจากการสำรวจราคาขายส่ง “รีเจนซี่” แบบยกลัง (16 กันยายน 2565 ) พบว่า มีการปรับขึ้นราคาไปแล้ว เฉลี่ยตั้งแต่ 280 บาทต่อลัง ไปจนถึง 1,000 บาทต่อลัง
- ขวดแบน 350 มล. จำหน่ายลังละ 3,500 บาท (จากเดิมราคา 3,220 บาท )
- ขวดกลมกลาง ขนาด 500 มล. จำหน่ายลังละ 7,800 บาท (จากเดิมราคา 7,320 บาท)
- ขวดกลมใหญ่ ขนาด 700 มล. จำหน่ายลังละ 9,300 บาท (จากเดิมราคา 8,480 บาท)
ตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงราคาขายที่ปรับขึ้นโดยเฉลี่ยเท่านั้น ส่วนจะมากน้อยก็แล้วแต่พื้นที่และสายส่งแต่ละรายจะแจ้งแก่ร้านค้า ซึ่งทางผู้ค้าบอกว่าราคาดังกล่าวอาจจะยังมีแนวโน้มสูงขึ้นได้อีก เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ดีมานด์พุ่ง ดันราคาขายปรับขึ้นตาม
ด้านคุณสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ให้กล่าวกับ BrandBuffet ว่า การปรับขึ้นราคาของรีเจนซี่ เป็นไปตามดีมานด์ของความต้องการ ตลอดช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงด้านราคาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเท่าที่ทราบคือ รีเจนซี่ เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคต้องซื้อเกินกว่าราคาที่แจ้งกับทางการค่อนข้างมาก จากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ราคาช่วงนี้จะเพิ่มขึ้นกว่า 100-200 บาทต่อขวด ทุกคนก็พร้อมจ่าย ทำให้ปัจจุบันขวดแบนราคาเท่าขวดกลม ขวดกลมราคาเท่าเหล้านอก ถือว่าเป็นการปรับราคาที่แพงเกินเหตุ
การปรับขึ้นราคาจึงเป็นเรื่องของการที่ใครมีสินค้าอยู่ในมือ และความต้องการในท้องถิ่นนั้นๆว่ามีมากน้อยขนาดไหน ยิ่งพอเปิดประเทศ การท่องเที่ยวสูงขึ้น นักดื่มที่ดื่มมาตลอดก็มีความต้องการมากขึ้น ท้ายที่สุดอยู่ที่ความพึงพอใจในการขายของแต่ละพื้นที่ เพราะที่ผ่านมาการควบคุมราคาก็ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากสินค้ามีความต้องการสูงและขึ้นอยู่กับเอเย่นแต่ละสายเป็นส่วนใหญ่
“หลายคนจะมองว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องต้นทุน เงินเฟ้อตอนนี้หรือไม่ โดยส่วนตัวมองว่าไม่น่าเกี่ยวมาก เนื่องจากการผลิตเหล้าในไทยต้นทุนไม่สูงมากนัก หากบริหารจัดการก็สามารถยืนพื้นราคาเดิมได้ แต่ทั้งหมดมองว่าขึ้นอยู่กับดีมานด์ในตลาด ปริมาณสินค้า และความต้องการในแต่ละพื้นที่มากกว่า”
เหล้านอก จ่อคิวขึ้นราคา 10-20% รับไฮซีซั่น
ผลจากการปรับราคาดังกล่าว สะท้อนความกังวลของผู้บริโภคที่มีต่อกลุ่มเหล้านอกนำเข้า ว่าจะมีการปรับราคาหรือทิศทางการขายอย่างไรในไทย เพราะหาก “เหล้า-เบียร์” ได้มีการปรับขึ้นราคามาอย่างต่อเนื่องแล้วเหล้านอกนำเข้าก็น่าจะมีการปรับขึ้นราคาตามมาอย่างแน่นอน
จากข้อมูลดังกล่าว BrandBuffet สอบถามข้อมูลไปยังแหล่งข่าวในแวดวงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้า รายหนึ่งถึงสถานการณ์เหล้านอกนำเข้าในขณะนี้ ระบุว่า ปัจจุบันกลุ่มเหล้านอกนำเข้า ขณะนี้ยังไม่มีการปรับขึ้นราคา เนื่องจากยังเป็นการจำหน่ายสต๊อกสินค้าเก่า หรือการระบายสินค้าจากช่วงสถานการณ์โควิดที่ยังเหลือ ทำให้ยังเป็นการจำหน่ายที่ในราคาขายปลีกเดิมที่แจ้งกับทางการไว้ (เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา) ซึ่งการขอปรับขึ้นราคานั้นทางผู้นำเข้าจะต้องมีการแจ้งราคาขายปลีกและปรับอัตราภาษีใหม่ ซึ่งไม่คุ้มต่อต้นทุนการดำเนินงาน
แต่หลังจากช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 หลังสต๊อกเก่าของผู้ประกอบการนำเข้าหมดไป จะเป็นการนำเข้าสินค้าใหม่เพื่อมาทำตลาดช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซั่น นั่นเองจะทำให้เหล้านอกนำเข้าได้รับผลกระทบจากต้นทุนโดยตรง และมีการแจ้งราคาขายปลีกใหม่ และเมื่อบวกกับภาษี เชื่อว่าจะทำให้เหล้านอกนำเข้าปรับขึ้นราคาในช่วงไตรมาส 4 นี้ 10-20% เป็นอย่างน้อย
“รีเจนซี่เป็นเหล้ามีที่ดีมานด์ในท้องตลาดสูง และเป็นสินค้าที่ไม่มีการสต็อกจำนวนมาก เป็นรูปแบบของการผลิตและก่อนวางจำหน่ายตามล็อต ทำให้ง่ายต่อการแจ้งราคาขายปลีก และบวกอัตราภาษีใหม่ ต่างจากกลุ่มสุรานำเข้าที่ต้องสต๊อกและมีกระบวนการมากกว่า นั่นจึงทำให้สามารถปรับราคาได้ตามสถานการณ์ได้มากกว่า ”
คุณธนากร คุปตจิตต์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (TABBA) กล่าวว่า ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีการปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงนี้ ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เงินเฟ้อที่กระทบไปถึงเรื่องของค่าพลังงานและวัตถุดิบ ที่กระทบต่อต้นทุนการผลิตทำให้ต้องมีการปรับขึ้นราคาเช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ
สำหรับตัวเลขอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมืองไทย นับจากปี 2562 ที่มีมูลค่ากว่า 3.5-3.7 แสนล้านบาท ลดเหลือ 3 แสนล้านบาทในปี 2563 และในปี 2564 มีมูลค่าคงเหลือที่ 2.4-2.6 แสนล้านบาท แบ่งออกเป็นกลุ่มเบียร์สุราในประเทศ 90% (เชิงมูลค่า) และกลุ่มสุรานำเข้าจากต่างประเทศ 10% (เชิงมูลค่า)
โดยแนวโน้มในปี 2565 โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป จากการคลายล็อกเปิดประเทศ กิจกรรมหลายอย่างที่สามารถเดินหน้าจัดงานได้ ทั้งผับบาร์ ร้านอาหาร โรงแรม ที่ถือเป็นตลาดหลักกลับมาเปิดบริการได้ตามปกติเชื่อว่าภาพรวมตลาดจะฟื้นกลับมาอย่างแน่นอน
อ่านเพิ่มเติม