อีคอมเมิร์ซไทยยังร้อนแรง โดยเฉพาะในศึก 9.9 ของปีนี้ ที่แม้ประเทศไทยจะเริ่มเผชิญปัญหาเงินเฟ้อ – ค่าครองชีพพุ่ง แต่ผู้บริหาร 2 แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่างลาซาด้า (Lazada) และช้อปปี้ (Shopee) ก็ยังยืนยันว่า แพลตฟอร์มของตนเองเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในแง่ผู้ซื้อ ร้านค้า และออเดอร์ พร้อมเผยพฤติกรรมผู้บริโภค หันมาซื้อของล็อตใหญ่ในช่วงเมกะเซลล์เพิ่มขึ้น
Lazada เปิดตัวเลขผู้ใช้แตะ 160 ล้านราย
ในส่วนของ Lazada คุณธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) เผยว่า พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อน Covid-19 โดยพบว่าเติบโตทั้งในแง่จำนวนผู้ใช้งาน – ยอดออเดอร์สินค้า ขณะที่แบรนด์ที่มาเปิดร้านบน LazMall ก็มียอดขายเติบโตขึ้น 2 – 3 เท่าในช่วง Covid-19 ด้วยเช่นกัน
คุณธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย)
ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ใช้งาน Lazada ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Monthly Active Users) อยู่ที่ 160 ล้านราย ขณะที่ร้านค้าที่สามารถขายสินค้าได้บนแพลตฟอร์มมีจำนวนอยู่ที่ 1 ล้านราย โดยสินค้าที่ขายดี 3 อันดับแรกของแพลตฟอร์มคือ
- สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (เติบโตกว่า 500%)
- สินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง (เติบโตกว่า 430%) เช่น กลุ่มเมคอัพ ลิปสติก
- สินค้าแฟชั่น (เติบโตราว 400%)
อย่างไรก็ดี หากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ผู้บริหาร Lazada เผยว่า ประเทศเวียดนามมีการเติบโตมากกว่าประเทศไทย เนื่องจากมีประชากรกลุ่ม Gen Z มากกว่า ส่วนไทยนั้น ผู้บริหาร Lazada เผยว่า ยังคงเป็นประเทศที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุด เนื่องจากมีความพร้อมในด้าน Ecosystem เหนือกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน (เช่น ความพร้อมด้าน Logistics, Payment, ตัวเลขผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่มากกว่า 90% ของจำนวนประชากร)
สำหรับความพิเศษในปีนี้ Lazada ได้ออกมาเปิดตัวสองฟีเจอร์ใหม่รับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป นั่นคือ Try & Buy (ทดลองสินค้าได้ก่อนตัดสินใจซื้อจริง) และ Brands Membership Program (ฟีเจอร์ให้แบรนด์สามารถมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าได้โดยตรง)
Shopee พบคนแห่ “ช้อป” รับเปิดเมือง
คุณสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดช้อปปี้ ประเทศไทย
ด้านคุณสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดช้อปปี้ ประเทศไทย เผยถึงการเติบโตของแพลตฟอร์มไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือมีการเติบโตทั้งในแง่ผู้ใช้งาน และยอดขาย เห็นได้จากตัวเลขยอดขายของเทศกาล 9.9 เมื่อปีที่ผ่านมา ที่แพลตฟอร์มสามารถขายสินค้าได้ 45 ล้านชิ้นภายใน 99 นาทีแรกของเทศกาล
นอกจากนั้น ในอีเวนท์ 11.11 Shopee ก็สามารถดึงผู้ใช้งานเข้าแอปได้มากกว่าวันธรรมดาถึง 5.5 เท่า ส่วนในเทศกาลช้อปส่งท้ายปี 12.12 ทางแพลตฟอร์มก็มียอดการใช้วอยเชอร์มากกว่า 850 ล้านครั้งด้วย
ทั้งนี้ คุณสุชญายังได้อ้างถึงการจัดอันดับของ AppAnnie ที่ระบุว่า Shopee เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ในแง่ผู้ใช้งาน (Monthly Active User) และระยะเวลาการใช้งาน (Time Spent) บนแอปพลิเคชันว่าเป็นหนึ่งในดัชนีที่สะท้อนถึงการเติบโตของแพลตฟอร์มด้วยเช่นกัน
ขณะที่สินค้าขายดีของแพลตฟอร์มนั้น พบว่าต่างจาก Lazada เล็กน้อย นั่นคือเป็นสินค้าในกลุ่ม Home & Living, Beauty & Personal Care และ Mobile & Gadget (ตัวเลขใน 6 เดือนแรกของปี 2565)
พฤติกรรมผู้บริโภค 2 แพลตฟอร์ม เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
สิ่งที่ผู้บริหาร Shopee และ Lazada ให้ความเห็นตรงกันคือ “พฤติกรรมผู้บริโภค” โดยพบว่า มีการรอซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ – ซื้อสินค้าหลาย ๆ ชิ้น ในอีเวนท์ระดับเมกะเซลล์มากขึ้น
คุณธนิดา ผู้บริหาร Lazada เผยว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมดังกล่าวเนื่องจากในอีเวนท์ระดับเมกะเซลล์จะมีส่วนลดจากแพลตฟอร์มหลายต่อ ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มในช่วงเวลาดังกล่าวมากเป็นพิเศษ
คุณธนิดากล่าวต่อไปด้วยว่า ในแง่ของยอดขายของแบรนด์ต่าง ๆ นั้นพบว่า แบรนด์สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นราว 2 – 3 เท่าเมื่อเทียบกับการขายในช่วงปกติ รวมถึงคาดการณ์ว่า ในเทศกาล 9.9 แพลตฟอร์มจะสามารถทำยอดขายได้ดีกว่าเทศกาล 6.6 ที่ผ่านมาด้วย
ด้านคุณสุชญา ผู้บริหาร Shopee ก็เผยว่า ทางแพลตฟอร์มมีการจัดแคมเปญ Upsize เพื่อเพิ่มการซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออกมาตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนี้ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ผู้บริหาร Shopee กล่าวเพิ่มเติมก็คือ ปัจจุบัน ทางแพลตฟอร์มสามารถขยายฐานผู้ใช้งานไปยังกลุ่มต่างจังหวัด, ผู้ชาย และผู้สูงอายุได้มากขึ้น เหตุเพราะการระบาดของ Covid-19 ทำให้การให้ความรู้ตลาดทำได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
Lazada ส่ง “Try & Buy” vs Shopee ลุยเทรนด์ ESG
แน่นอนว่า ในอีเวนท์ระดับเมกะเซลล์จะมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของทางแบรนด์ออกมาเสมอ ซึ่งในมุมของ Lazada ในปีนี้พบว่าได้เริ่มใช้งานฟีเจอร์ Try & Buy อย่างเป็นทางการ โดยฟีเจอร์ดังกล่าวคือการให้ผู้ใช้งานสามารถกดรับสินค้าขนาดทดลองได้จากแพลตฟอร์ม และตัวสินค้าจะถูกส่งไปให้ถึงบ้าน (ซึ่งทางแบรนด์สามารถส่งคูปองส่วนลดให้กับลูกค้าเพิ่มเติมได้)
ทั้งนี้ ผู้บริหาร Lazada เผยว่า เคยมีการจับมือกับแบรนด์ Lancome ในการทดลองฟีเจอร์ Try & Buy มาแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยเป็นการตั้งตู้ Vending Machine เพื่อรับสินค้าทดลองไปใช้
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวฟีเจอร์ Brands Membership Program เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถกดเข้าร่วมเป็นเมมเบอร์ของแบรนด์ที่ตัวเองสนใจได้ด้วย โดยจะมีสิทธิพิเศษจากแบรนด์มอบให้เป็นการแลกเปลี่ยน เช่น ส่วนลดพิเศษ, คะแนนสะสม, คูปอง หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ
คุณธนิดาเผยว่า ปัจจุบันมีแบรนด์เข้าร่วมใน Brands Membership Program แล้วประมาณ 200 ราย ส่วนสินค้าสำหรับฟีเจอร์ Try & Buy นั้นมีประมาณ 300 รายการ
ขณะที่ Shopee พบว่า สร้างความแตกต่างให้กับเทศกาล 9.9 ในปีนี้ด้วยการให้ความสำคัญกับเทรนด์ด้านความยั่งยืน (ESG) โดยมีการผนึกแบรนด์ดังอย่าง SCG และค่ายพฤกษา รับกล่องพัสดุกลับมารีไซเคิล เพื่อต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และส่งมอบให้กับองค์กร หรือมูลนิธิต่าง ๆ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป ในชื่อโครงการ “กล่อง เกิด ใหม่” โดย Shopee จะเปิดรับกล่องพัสดุจากการช้อปปิ้งออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 มากกว่า 100 จุดทั่วกรุงเทพฯ เลยทีเดียว
ทั้งนี้ ผู้บริหารของทั้งสองแพลตฟอร์มต่างให้ทัศนะถึงโอกาสของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในยุคเงินเฟ้อไม่ต่างกันนัก โดยระบุว่า การช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้กลายเป็นวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้ว และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสามารถเข้ามาตอบโจทย์การจับจ่ายใช้สอยในช่วงภาวะเงินเฟ้อได้ไม่ต่างจากธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์ เห็นได้จากพฤติกรรมการซื้อของคนที่หันมาซื้อของตุนในปริมาณมาก ๆ จากแพลตฟอร์มในช่วงเมกะเซลล์นั่นเอง