วอลท์ ดีสนีย์ (The Walt Disney) โชว์ผลประกอบการไตรมาสล่าสุด พบรายได้หลักยังมาจากธีมปาร์ค อย่างไรก็ดี ทางค่ายพร้อมอวดตัวเลขผู้ใช้งานบริการสตรีมมิ่ง 3 ยี่ห้อรวมกัน ได้แก่ Disney+, EPSN+ และ Hulu ว่ามีมากถึง 235 ล้านคน ซึ่งมากกว่าเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) คู่แข่งคนสำคัญในที่สุด (ตัวเลขผู้ใช้งาน Netflix ล่าสุดอยู่ที่ 223 ล้านคน)
งานนี้กว่าจะแซงได้ต้องแท็กทีมกัน 3 ยี่ห้อ โดยในรายงานผลประกอบการของดิสนีย์เผยว่า ยอดผู้ใช้งาน Disney+ เพิ่มขึ้นมา 12.1 ล้านคน ส่วน ESPN+ เพิ่มขึ้น 7 ล้านคน และ Hulu เพิ่มมา 3.4 ล้านคน นำไปสู่การแซงหน้า Netflix อย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า การเติบโตของ Disney+ ในไตรมาสนี้มาจากความแข็งแกร่งของคอนเทนต์กลุ่มครอบครัวและหนังแฟรนไชส์ของทางค่าย พร้อมมองว่า ความท้าทายของ Disney+ ก็คือการขยายตลาดไปยังคอนเทนต์ประเภทอื่น ๆ ซึ่งอาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะ Disney+ จะต้องหาทางสื่อสารให้สมาชิกเดิมเข้าใจ และไม่หนีจากไปด้วยนั่นเอง
เปิดศึกโฆษณา
ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งสองแพลตฟอร์มอย่าง Netflix และ Disney+ ยังมีแผนเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานแบบจ่ายเงินด้วยการเปิดตัวแพกเกจราคาประหยัดแบบมีโฆษณาด้วย โดย Netflix ได้เริ่มไปแล้ว และ Disney+ จะมีการเปิดตัวเช่นกันในวันที่ 8 ธันวาคมนี้
สำหรับตัวเลขผู้ใช้บริการ Disney+ ที่เพิ่มขึ้นมา 12.1 ล้านคนนั้น มีการเติบโตที่สำคัญในตลาดอย่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยเพิ่มขึ้นถึง 1.9 ล้านคน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการทำรายได้ให้กับ Disney ในอนาคต แต่ในแง่ของรายจ่ายก็พบว่า แผนก Direct-to-consumer ของ Disney มีรายจ่ายด้านโปรดักชัน ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสูงมากเช่นกัน โดยทำให้พวกเขาขาดทุนไปถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว (ไตรมาสเดียวกันของปีก่อนขาดทุนไป 630 ล้านเหรียญสหรัฐ)
สำหรับบริการ Disney+ ปัจจุบันยังมีผลประกอบการขาดทุนอยู่ ซึ่งทางซีอีโออย่าง Bob Chapek คาดการณ์ว่า Disney+ จะสามารถทำกำไรได้ในช่วงปลายปีหน้าต่อเนื่องถึงปี 2024 สอดคล้องกับการคาดการณ์จากบริษัทวิเคราะห์อย่าง Insider Intelligence ที่ระบุว่า Disney+ จะทำรายได้ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐจากการขายโฆษณาในปี 2023 นี้
ส่วนรายได้ของทั้งเครือพบว่า Disney สามารถทำไปได้ถึง 20,150 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 9% โดยรายได้หลักยังมาจากธีมปาร์คอยู่ดี