มีรายงานจากสื่อของจีนอย่าง Sina ว่า ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง JD.com มีแผนจะถอนตัวจากตลาดไทยและอินโดนีเซียในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า รวมถึงจะมีการปรับโครงสร้างภายในเพื่อลดต้นทุนด้วย หลังธุรกิจอีคอมเมิร์ซซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทเจอปัญหากำลังซื้อหดตัว
ผู้ที่ออกมาเปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่าง Sina ระบุว่ามีแหล่งข่าวภายในของ JD.com ระบุว่า JD.com มีแผนจะถอนตัวออกจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศ โดยเฉพาะในไทยและอินโดนีเซียที่เป็นการตั้งกิจการร่วมค้า (Joint Ventures) กับผู้ประกอบการในประเทศ
ไม่เฉพาะธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ JD.com ถอนตัวออกไป เพราะในประเทศจีน อย่างมณฑลฝูเจี้ยน มณฑลชางซี ก็มีการปิดธุรกิจไปตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเช่นกัน
ส่วนธุรกิจในยุโรป พบว่าทาง JD.com ยังคงธุรกิจในเนเธอร์แลนด์เอาไว้ รวมถึงมีคลังสินค้าให้บริการในโปแลนด์และเยอรมนีด้วย
ในส่วนของการลงทุนที่ JD.com มีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น พบว่ามีการไปลงทุนใน Gojek สตาร์ทอัพชื่อดังของอินโดนีเซียเมื่อปี 2015 รวมถึง Tokopedia (และในตอนหลังทั้ง Gojek และ Tokopedia ควบรวมกิจการกันกลายเป็น GoTo) รวมถึง Tiki ในเวียดนาม และ JD Central ในประเทศไทย (เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2018) โดยในตอนนี้ รายงานข่าวระบุว่า JD.com กำลังมองหาคนที่จะมาซื้อสินทรัพย์ของบริษัทในประเทศเหล่านั้นอยู่
- ค้าปลีกแบบเดิมไม่พอแล้ว! “กลุ่มเซ็นทรัล” ปฏิวัติธุรกิจครั้งใหญ่ มุ่งสู่การเป็น “Tech Company” – Brand Buffet
- การกลับมาอีกครั้งในรอบ 3 ปี กับ 6 ความเปลี่ยนแปลงของ “JD Central” – Brand Buffet
ลดเงินเดือนผู้บริหาร 2,000 คน
การถอนตัวจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีขึ้นหลังมีรายงานว่า JD.com ได้ตัดสินใจลดเงินเดือนผู้บริหารจำนวน 2,000 คนลง 10 – 20% เพื่อนำเงินในส่วนนี้ไปเป็นสวัสดิการให้พนักงานในปีหน้า โดย The Wall Street Journal ระบุว่า ซีอีโอของบริษัทอย่าง Liu Qiangdong ได้ส่งจดหมายขอโทษพนักงานและผู้บริหารเหล่านั้น รวมถึงสัญญาว่า ถ้าบริษัท JD.com กลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วภายใน 2 ปีข้างหน้า บริษัทจะคืนเงินเหล่านั้นให้ดังเดิม
ขณะที่สำนักข่าว The Straits Times ระบุว่า การตัดสินใจของบริษัทมีขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ออกมาเน้นย้ำถึง “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผลักดันให้มหาเศรษฐีในบริษัทเทคโนโลยีจัดตั้งโครงการเพื่อลดความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ และนั่นอาจทำให้ JD.com ต้องปรับตัวครั้งใหญ่นั่นเอง