ซัมซุง (Samsung) ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้เผยอินไซต์คนไทย 72% อยากได้บ้านอัจฉริยะมากเป็นอันดับสามของอาเซียนรองจากเวียดนาม (84%) และอินโดนีเซีย (81%) เล็งส่งอุปกรณ์ IoT บุกตลาดมากขึ้น และตั้งเป้าเป็นที่หนึ่งในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยภายใน 3 ปี
สำหรับกลยุทธ์ในการบุกตลาดไทยปีนี้ คุณเจนนิเฟอร์ ซอง ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า จะเน้นทำตลาดผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ การส่งสินค้าพรีเมียมมาตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากพบว่า รายได้ของกลุ่มคนที่สามารถซื้อสินค้าระดับพรีเมียมของไทยได้นั้นมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกลยุทธ์ที่ 2 คือการผลิตสินค้าที่เน้นการเชื่อมต่อ (Connectivity) และความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นเทรนด์ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ โดยในส่วนนี้ ผู้บริหาร Samsung ได้ยกตัวอย่างการประหยัดพลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า และความสามารถในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งทำให้เจ้าของบ้านทราบความเป็นไปต่าง ๆ ในบ้านได้ตลอดเวลา
ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 คือการเจาะตลาด B2B โดยที่ผ่านมา Samsung ได้มีการจับมือกับแสนสิริ พัฒนาบ้านต้นแบบ Smart Home Smart Energy ที่โครงการบุราสิริ กรุงเทพกรีฑา ซึ่งผู้บริหาร Samsung กล่าวในส่วนนี้ว่า พบความต้องการมากขึ้นจากภาคธุรกิจ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เปิด 5 ความต้องการบ้านอัจฉริยะ
สำหรับแนวโน้มความต้องการบ้านอัจฉริยะ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคในไทยให้ความสนใจสูงเป็นอันดับสามของอาเซียนนั้น คุณปารมี ทองเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร Samsung เผยว่า 5 ประเด็นที่คนไทยให้ความสำคัญกับการทำบ้านอัจฉริยะ ได้แก่
- ความปลอดภัย (Security)
- การประหยัดเวลา (Time Saving) เช่น การมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วยอำนวยความสะดวกและทำให้เจ้าของบ้านมีเวลาไปทำสิ่งที่ตนเองสนใจมากขึ้น
- การเข้าถึงได้จากระยะไกล (Remote Access) ซึ่งทำให้เจ้าของบ้านสามารถเข้ามาดูบ้าน – สัตว์เลี้ยงได้ตลอดเวลาว่าสบายดีไหม
- ความสะดวกสบาย (Comfort) เช่น การสั่งเปิดแอร์ที่บ้านไว้ล่วงหน้า
- การเชื่อมต่อกันได้ของอุปกรณ์ (Connected Devices) ที่เจ้าของบ้านไม่ต้องการความยุ่งยากในการควบคุม และมองว่าการสามารถควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ในที่เดียวจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากกว่า โดยในจุดนี้ ทาง Samsung เผยว่า บริษัทมีในส่วนแอปพลิเคชัน SmartThings ที่ไม่เพียงเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ของ Samsung ได้แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ของบริษัทอื่น ๆ ได้ด้วย
ด้านคุณเจนนิเฟอร์ ซอง มองว่า จุดแข็งในส่วนนี้ของ Samsung มาจากการที่บริษัทเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนด้วยนั่นเอง
ผลิตสินค้า Personalize ตอบโจทย์ Gen Z – Millennial
ในจุดนี้ Samsung ได้อ้างถึงผลสำรวจของ McKinsey ที่พบว่า 55% ของ Gen Z ต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาได้ ทำให้โฉมหน้าของสินค้า Samsung ในปีนี้จะเน้นความสามารถในการปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น ตู้เย็นที่สามารถเปลี่ยนสีของบานประตูได้ หรือการมีส่วนลดที่ออกแบบมาเฉพาะ การรับประกันสินค้าที่นานขึ้น ฯลฯ
ทั้งนี้ ผู้บริหาร Samsung เผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2023 รวมกว่า 100 รุ่นเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสินค้าที่เป็นผู้นำด้านยอดขายของ Samsung อย่างทีวี, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องซักผ้า และตู้เย็น นั้น พบว่า ในปี 2565 มีอินไซต์ต่าง ๆ ดังนี้
กลุ่มทีวี
- ผู้บริโภคให้การตอบรับทีวีจอใหญ่มากขึ้น ทำให้สัดส่วนหน้าจอตั้งแต่ 65 นิ้วขึ้นไป เติบโตขึ้นถึง 1.5 เท่า
- ยอดขาย Samsung Neo QLED เติบโต 3 เท่า และเฉพาะ Neo QLED 8K เติบโตถึง 4 เท่า
- ไลฟ์สไตล์ทีวีโต 2 เท่า
- ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องเสียงของซัมซุงที่ใช้คู่กับทีวี เช่น Soundbar รวมไปถึง Sound Tower ก็ได้รับการตอบรับจากตลาดมากขึ้นโดยยอดขายของ Soundbar เติบโต 1.5 เท่า
กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
- กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในภาพรวมเติบโต 5%
- เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกลุ่มพรีเมียมของซัมซุงเติบโตถึง 2 เท่าจากปี 2021
- กลุ่มเครื่องซักผ้าและตู้เย็นเติบโต 5%
- กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (เตาอบไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องฟอกอากาศ) เติบโต 10%
สำหรับปัจจัยในการเติบโตนั้น คุณเริงบุญ คล่องคำนวณการ ผู้อำนวยการธุรกิจ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ระบุว่า มาจากวิถีการใช้ชีวิตที่ปลี่ยนแปลง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีฤดูกาลที่แน่นอนทำให้ผู้บริโภคต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
กลุ่มเครื่องปรับอากาศ
- เครื่องปรับอากาศพรีเมี่ยมในกลุ่ม WindFree เติบโตถึง 30%
- ส่วนยอดขายกลุ่ม B2B เติบโตถึง 40%
สำหรับในปีนี้ คุณอภิรดี พหลเวชช์ ผู้อำนวยการธุรกิจเครื่องปรับอากาศ ซัมซุง ระบุว่า จะมีการเปิดตัวไลน์อัพเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ในกลุ่ม WindFree ในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น พร้อมขยายระยะเวลารับประกันเป็น 10 ปี นอกจากนี้ยังพร้อมบุกตลาดลูกค้าองค์กรด้วยระบบเครื่องปรับอากาศ DVM S2, Free Joint Multi (FJM) และ Ceiling Fixed Speed R32 Mark5 ด้วย
คุณปารมียังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า Samsung คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะกลับมาดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และอาจต้องใช้เวลา 1 – 2 ปีในการกลับเข้าสู่ภาวะปกติเหมือนช่วงก่อนเกิด Covid-19