Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
ต้องยอมรับว่า เทรนด์ “รักษ์โลก” ไม่ใช่เรื่องใหม่ เรื่องนี้ถูกหยิบยกมาพูดกันหลายปีแล้ว จากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลกระทบกับผู้คนทั่วทั้งโลก ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลายองค์กรจึงตื่นตัวและหันมาปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกันอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายองค์กรที่คิดอย่างเดียว แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ เพราะมองว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป
คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงร่วมกับ บริษัท เอบีเอ็ม คอนเนค จำกัด ทำการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้สินค้ารักษ์โลก ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ กลุ่มผู้บริโภคตัวอย่างจำนวน 601 คน และแบบสัมภาษณ์เชิงลึกอีก 8 คน ครอบคลุมทั้ง Gen X, Gen Y และ Gen Z เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มีต่อการดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และนำไปสู่การวางแผนการสื่อสารที่ถูกต้อง ตลอดจนสามารถขยายไลน์สินค้าในราคาที่เหมาะสม และตรงใจกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น
มุมมองคนรุ่นใหม่กับปัญหาสิ่งแวดล้อม
ในการสำรวจครั้งนี้ ได้ถามมุมมองผู้บริโภคถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยผู้บริโภครุ่นใหม่ส่วนใหญ่ทั้งกลุ่มนักศึกษา และคนทำงาน มองว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมบนโลกที่ส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินชีวิต ทำให้พวกเขาเปิดใจรับและเข้าใจปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ทั้งยังมองว่าการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ต้องสนใจ และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยผลวิจัยพบว่า กว่า 60% ของกลุ่มตัวอย่างเคยซื้อสินค้ารักษ์โลก ส่วน 30% ไม่เคยซื้อ แต่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์รักษ์โลก
ที่น่าสนใจคือ คนส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมาก่อน แต่พร้อมเปิดใจเลือกสินค้ารักษ์โลกมาใช้ในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นว่าการรักษ์โลกไม่ได้เป็นเทรนด์เฉพาะกลุ่ม แต่เป็นแนวคิดส่วนใหญ่ของคนรุ่นใหม่
คนรุ่นใหม่พร้อมเปย์สินค้ารักษ์โลก แต่ราคาต้องเข้าถึงได้
เมื่อถามถึงสินค้ารักษ์โลก ผลวิจัยพบว่า สินค้าที่คนรุ่นใหม่สนใจมากที่สุดคือ ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล (Personal Care) และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน (Household Product) ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ผิวกาย และหนังศีรษะ ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น
ในขณะที่ราคาของสินค้าควรอยู่ในช่วงราคา 100-200 บาท หรือมีราคาไม่สูงกว่าสินค้าทั่วไป (Non-Green Product) เกินกว่า 100 บาท แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่สนใจและยินดีซื้อผลิตภัณฑ์รักษ์โลกมาใช้ หากอยู่ในช่วงราคาที่ย่อมเยา จับต้องได้ และมีราคาใกล้เคียงกับสินค้าโดยทั่วไปที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก
ไม่ใช่แค่ราคาเข้าถึงได้ แต่สินค้ารักษ์โลก ต้องปลอดภัย หาซื้อง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากราคาสินค้ารักษ์โลกที่ย่อมเยาแล้ว ผลวิจัยยังพบด้วยว่า คนรุ่นใหม่คาดหวังว่าสินค้ารักษ์โลกส่วนใหญ่ควรมีบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกที่ย่อยสลายได้ รวมถึงเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปเติมได้ (Refill) สกัดหรือมีส่วนผสมจากธรรมชาติ รวมถึงแสดงวันหมดอายุ ส่วนผสมบนผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน ทั้งยังได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ มีราคาเหมาะสมกับปริมาณ คุณสมบัติและราคาเหมาะสมเมื่อเทียบกับสินค้าทั่วไป (non-green product) และซื้อหาง่ายผ่านช่องทางออนไลน์หรือร้านสะดวกซื้อ
ขณะที่การสื่อสารการตลาดสำหรับสินค้ารักษ์โลก คนรุ่นใหม่เชื่อถือการใช้ “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” ในการประชาสัมพันธ์ และตอบสนองต่อกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เช่น การใช้คูปองส่วนลด และการมีส่วนร่วมในการบริจาค ดังนั้น ทางทีมวิจัย จึงแนะว่า องค์กรจำเป็นต้องปรับรูปแบบและเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
เพราะคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มเสพสื่อดั้งเดิมลดลงเรื่อยๆ มีเพียงสื่อโทรทัศน์ สื่อนอกบ้าน (Out of Home) และสื่อวิทยุที่ยังพอเปิดรับอยู่บ้าง ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งในรูปแบบหนังสือพิมพ์และนิตยสารแทบจะไม่เลือกใช้งานเลย สื่อออนไลน์และโซเชียลจึงเป็นคำตอบสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ซึ่งใช้เวลาเลือกรับข้อมูลข่าวสารผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยมเช่น YouTube, Line, Instagram, Facebook, Twitter, TikTok โดยเฉพาะในช่วงค่ำระหว่างเวลา 20:00-00.00 น. นอกจากนี้ การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่สั้น กระชับ สื่อสารตรงใจก็เป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างการจดจำได้ดี