หลังจาก ศาลล้มละลายกลาง “เห็นชอบ” การขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทย เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 กระบวนการต่างๆ เริ่มเดินหน้า โดยมีการสรรหาและแต่งตั้ง คุณชาย เอี่ยมศิริ ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานในการบินไทยมา 38 ปี ให้นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) มีผลวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อนำ การบินไทย เข้าสู่การแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบ ผลักดันรายได้สู่เป้าหมาย และทำให้การฟื้นฟูกิจการสำเร็จตามแผน
คุณชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.การบินไทย (THAI) เปิดใจหลังรับตำแหน่งว่า นับตั้งแต่การบินไทย เจอกับสถานการณ์โควิดและต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ ความเชื่อมั่นทั้งนักลงทุน ผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ พนักงาน ในช่วงนั้นแทบจะเป็นศูนย์ คือ ไม่มีความเชื่อมั่นใน การบินไทยเลย จากปัญหาขาดทุนสะสมจำนวนมาก
หลังจากเจอปัญหาแทรกซ้อนหลายเรื่อง การบินไทย สู้กันมาถึงวันนี้ ที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ หลังปรับโครงสร้างองค์กร ลดต้นทุน เจรจาเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟู และเป็น Timing ที่ดี หลังโควิดคลี่คลาย นโยบายเปิดประเทศตั้งแต่กลางปีก่อน ทำให้ การบินไทย กลับมาเปิดเส้นทางบินได้ และมีดีมานด์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“วันนี้คิดว่า การบินไทย อยู่ในภาวะที่น่าจะอยู่รอดได้ในระยะนี้ แต่ก็ไม่ประมาท เพราะบทเรียนสอนมาตั้งแต่อดีตว่า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ เห็นได้จากโควิดที่ทำให้ธุรกิจการบินต้องหยุดทั่วโลก วันนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว เรามีกระแสเงินสดในมือกว่า 30,000 ล้านบาท ที่เกิดจากการทำมาหากินของเราเอง ไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการขายทรัพย์สิน”
หากเทียบกระแสเงินสดในมือ 30,000 ล้านบาทในวันนี้ ถือว่ามากกว่าช่วงโควิดและเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ในปี 2564 ที่มีเงินสดในมือต่ำสุด 6,000 ล้านบาท ช่วงนั้นต้องปรับโครงสร้างองค์กรลดพนักงาน จากที่มีจำนวน 29,600 คน ลดเหลือ 14,900 คน หรือลดลงไป 50%
เมื่อพนักงานเสียสละช่วยองค์กรด้วยการเข้าโครงการลาออก การบินไทยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย ซึ่งมีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท ช่วงนั้นมีเงินสดในมือ 6,000 ล้านบาท จึงเป็นที่มาของการขายทรัพย์สินต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อนำเงินมาจ่ายชดเชยตามกฎหมาย โดยมีการผ่อนจ่าย 12 เดือน วันนี้ภาระจ่ายเงินชดเชยครบแล้ว
ภายใต้ภารกิจ ซีอีโอ การบินไทย ได้วางเป้าหมายระยะสั้น เดินหน้าตามแผนฟื้นฟูให้สำเร็จภายในปลายปี 2567 และนำหุ้น THAI กลับมาเทรดในต้นปี 2568 สร้างความเชื่อมั่นให้ stakeholder ว่า การบินไทยจะดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง
ส่วนเป้าหมายระยะยาว คือ การพาการบินไทยกลับไปสู่สายการบินแห่งชาติในระดับต้นๆ ของโลกให้ได้ แม้อาจไม่ใช่ในช่วงเวลาของ ซีอีโอ ปัจจุบัน เพราะมีสัญญาจ้าง 4 ปี แต่เชื่อว่าจะสามารถนำการบินไทย กลับไปสู่สายการบินชั้นนำของเอเชียและระดับโลกได้ เพราะสายการบินต่างๆ มองการบินไทยเป็นคู่แข่งตลอดเวลา โดยเฉพาะด้านการให้บริการ
เจาะแผนธุรกิจ ปี 66 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 40%
สำหรับแผนธุรกิจของการบินไทยในปี 2566 ภายใต้การนำทัพของ ซีอีโอคนใหม่ คุณชาย วางเป้าหมายรายได้เติบโต 40% จากปี 2565 ที่คาดว่ารายได้อยู่ที่ 90,000 ล้านบาท โดยผลประกอบการเริ่มเป็นบวกมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 (ภาพรวมยังขาดทุน)
ปัจจัยที่ทำให้ การบินไทย เห็นโอกาสรายได้เติบโต 40% มาจาก
1. ดีมานด์ในเส้นทางต่างๆ เพิ่มขึ้นหลังโควิด ปัจจุบันการบินไทยมีเครื่องบิน 41 ลำ ซึ่งไม่พอกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ในปีนี้จึงเตรียมจัดหาเครื่องบินมาให้บริการเพิ่ม เริ่มจากการนำเครื่องบินเดิม แอร์บัส A330 และโบอิ้ง 777-200ER รวม 8 ลำ กลับมาทำการบินเพิ่ม รวมเป็น 49 ลำ นอกจากนี้ยังมีไทยสมายล์ 20 ลำ
รวมทั้งจะจัดหาเครื่องบินด้วยการเช่าอีก 6 ลำ จะทยอยเข้ามาตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป และกำลังเจรจาเช่าอีก 3 ลำ อาจจะเข้าสิ้นปีนี้หรือต้นปี 2567 รวมทั้งหมดเป็น 9 ลำ ซึ่งจะทำให้ การบินไทย ให้บริการได้เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การเช่าเครื่องบินใหม่ ไม่ต้องตั้งงบลงทุนเพิ่ม โดยอยู่ในค่าใช้จ่ายดำเนินงานปกติ
ส่วนเครื่องบิน แอร์บัส A380 ที่มีอยู่ 6 ลำ ศึกษาแล้วหากนำเข้ามาประจำการ มีความเสี่ยงหลายด้าน เพราะจอดมากว่า 2 ปี ต้องนำไปซ่อมบำรุงก่อน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายลำละหลายร้อยล้านบาท เป็นเครื่องบินที่มีจำนวนที่นั่งเยอะ เสี่ยงจุดคุ้มทุน ที่ต้องทำได้ 80% ของจำนวนที่นั่ง และต้นทุนน้ำมันสูง โดยเป็นเครื่องบินที่รอขาย ซึ่งมีอายุใช้งาน 10-12 ปี
นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินรอขายอีกคือ โบอิ้ง 777-300 จำนวน 6 ลำ, โบอิ้ง 777-200 จำนวน 6 ลำ ทั้ง 2 รุ่นมีอายุใช้งานกว่า 20 ปี และ แอร์บัส A340 จำนวน 4 ลำ อายุเฉลี่ย 17 ปี
2. ในปี 2565 อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวทั่วโลก ทำให้การบินไทย มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) 80% ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ในปี 2566 ยังตั้งเป้า Cabin Factor ไว้ที่ 80% เพราะดีมานด์กลับมาเร็วในหลายเส้นทาง และการเช่าเครื่องบินใหม่มาให้บริการเพิ่ม จะเข้ามาตั้งแต่เดือนเมษายนนี้
3. ปีนี้การบินไทยจะเพิ่มเที่ยวบินในหลายเส้นทางที่มีดีมานด์เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป ที่จะเปิดเส้นทางทุกเมืองและเพิ่มเที่ยวบิน, เส้นทางจีน จาก 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ 1 มีนาคม จะเป็นเพิ่มเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากเส้นทางบิน 5 เมือง จะเปิดครบทั้ง 8 เมืองที่เคยทำการบิน รวมทั้งเส้นทางญี่ปุ่น และเอเชีย จะเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น
ส่งสัญญาณออกจากแผนฟื้นฟูเร็วขึ้น
ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ที่ศาลเห็นชอบ หลักเกณฑ์วัดผลสำเร็จของแผน คือ เมื่อจดทะเบียนเพิ่มทุนที่กำหนดไว้ในแผน มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดจ่ายหนี้ตามสัญญาเช่าเครื่องบินไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ในรอบ 12 เดือนก่อนหน้าที่จะรายงานศาลและส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินเป็นบวก
ปัจจุบัน การบินไทย ดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ได้แล้ว 70% จากทิศทางต่างๆ ที่เป็นสัญญาณบวกนี้ การบินไทยคาดหวังจะออกจากแผนฟื้นฟูให้ได้เร็วกว่ากำหนดเดิม ที่จะทำให้ส่วนของทุนกลับมาเป็นบวกในปลายปี 2567 และนำหุ้นการบินไทยเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในต้นปี 2568
พร้อมสร้างกำไรและการเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะ “สายการบินแห่งชาติ”
อ่านเพิ่มเติม
- สรุปแก้แผนฟื้นฟู ‘การบินไทย’ แปลงหนี้เป็นทุน-ลดวงเงินกู้เหลือ 25,000 ล้าน คาดหุ้นกลับมาเทรดได้ปี 2568
- 60 ปี ‘การบินไทย’ เริ่มต้นใหม่บนเส้นทาง ยื่นศาลล้มละลาย ‘ฟื้นฟูกิจการ’ แก้หนี้ 2.4 แสนล้าน