ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เราคงได้ยินคำว่า “ความยั่งยืน” หรือ “Sustainability” กันบ่อยขึ้นในแวดวงธุรกิจ เพราะการที่ธุรกิจจะเติบโตและกลายเป็น Brand Love ที่อยู่ในใจผู้บริโภคทุก Gen นั้น ไม่ใช่แค่มีสินค้าคุณภาพและการบริการที่ดีเท่านั้น แต่ทว่ายังต้องใส่ใจสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” ที่ไม่ได้มองแค่ผลกำไรทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังใส่ใจในเรื่องเหล่านี้ ผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ มากมายที่ช่วยสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมไทยทั้ง 3 แกน ทั้ง กีฬา ดนตรี และชุมชน หนึ่งในไฮไลท์คือ THE POWER BAND การประกวดวงดนตรี ที่ก่อตั้งขั้นมาเพื่อให้ผู้ที่มีใจรักในเสียงเพลงได้มีเวทีแสดงความสามารถ และพัฒนาศักยภาพเพื่อก้าวสู่การเป็นนักดนตรีมืออาชีพ หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมคิง เพาเวอร์ ถึงสนใจกิจกรรมด้านดนตรี และเวทีประกวดดนตรี THE POWER BAND จะแตกต่างจากเวทีประกวดอื่นๆ อย่างไร Brand Buffet พามาหาคำตอบเรื่องนี้กันชัดๆ
King Power ใช้พลังแห่งการให้ ผสานดนตรี สร้างความยั่งยืนให้คนดนตรี
เมื่อพูดถึงกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility (CSR) ถ้าเป็นสมัยก่อนหลายคนจะนึกถึงการบริจาคเงินหรือสิ่งของให้กับพื้นที่ขาดแคลนต่างๆ ส่วนหนึ่งเพราะว่าเป็นรูปแบบที่สะท้อนถึงการตอบแทนสังคมได้อย่างชัดเจนและสามารถทำได้ง่าย แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป หลายองค์กรหันมาทำ CSR กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น และรูปแบบกิจกรรมก็มีความหลากหหลาย ไม่ใช่แค่การบริจาคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การประกวดดนตรี
หลายคนสงสัยกันใช่ไหมว่า แล้วการประกวดดนตรี เป็น CSR อย่างไร? หากสรุปแบบง่ายๆ ก็คือ การประกวดดนตรีเป็นหนึ่งในการให้เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ การประกวดดนตรีเป็นการให้ “โอกาส” กับคน ไม่ใช่สิ่งของ ซึ่งนอกจากจะทำให้วงการเพลงคึกคักมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้นักร้อง และวงดนตรีหลายวงสามารถแจ้งเกิดและเติบโตเป็นศิลปินโด่งดัง มีแฟนคลับติดตามมากมาย จนสร้างเนื้อสร้างตัวและดูแลครอบครัวได้ ขณะที่หลายคนสามารถสร้างชื่อเสียงในเวทีระดับโลกเลยทีเดียว
เรียกได้ว่าภาพต่างๆ เหล่านี้เข้ามาจุดประกายความฝันให้กับหลายๆ คนที่อยากเป็นเหมือนศิลปินเหล่านั้น โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ จนหลายปีมานี้เกิดเวทีประกวดดนตรีและร้องเพลงมากมายหลายรูปแบบ รวมไปถึง THE POWER BAND ของคิง เพาเวอร์
เน้นคุณภาพและประสบการณ์ดนตรีมืออาชีพจากมิวสิคกูรู
โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้คิง เพาเวอร์สนใจกิจกรรมด้านดนตรี ต้องบอกว่า มาจากความเชื่อในพลังแห่งการให้ และเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถด้านดนตรีไม่แพ้ชาติใด จึงนำสองสิ่งนี้มารวมเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเวทีประกวดดนตรีสากล THE POWER BAND ซึ่งแตกต่างจากเวทีประกวดดนตรีทั่วไป
เพราะจุดเด่นสำคัญอย่างหนึ่งของ THE POWER BAND คือ การนำผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีชั้นแนวหน้าของไทย ทั้งการร้อง การเล่นดนตรีระดับสากล รวมทั้งประสบการณ์ในเวทีการแสดงระดับมืออาชีพ มาช่วยวิเคราะห์และให้คำแนะนำกับผู้เข้าประกวดให้เห็นกันเลย ไม่ใช่แค่นำคณะกรรมการมาคอมเม้นต์หรือให้คะแนนหลังร้องจบแบบการประกวดทั่วไป ซึ่งการมีมิวสิคกูรูมาช่วยชี้แนะแนวทางแบบนี้ จะช่วยให้ผู้เข้าประกวดเห็นจุดอ่อนจุดแข็งชัดเจน และสามารถต่อยอดการเล่นดนตรีให้มีคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ THE POWER BAND ยังเป็นเวทีที่ท้าทายความสามารถผู้เข้าแข่งขันด้วยโจทย์การแข่งขันที่เปลี่ยนไปทุกปี เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย แถมยังต้องแต่งเพลงเอง ทำให้เด็กๆ ที่เข้ามาแข่งขันได้พัฒนาเกิดการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ และทำงานร่วมกันเป็นทีม ในขณะที่เวทีอื่นๆ ไม่ได้บังคับต้องแต่งเพลงเอง สามารถนำเพลงของศิลปินชื่อดังมาร้องบนเวทีได้เลย
ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ THE POWER BAND เป็นเวทีประกวดดนตรีคุณภาพที่แตกต่างและประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มีเหล่านักดนตรีรุ่นใหม่เข้ามาแสดงพลังทางดนตรีเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยปีที่ผ่านมา มีผู้ที่มีหัวใจดนตรีเข้ามาร่วมแข่งขันถึง 227 วง รวมนักดนตรีกว่า 1,500 คนทีเดียว และในปีนี้ยังเพิ่มความพิเศษกว่าเดิม ด้วยกิจกรรม THE POWER BAND CAMP เพื่อให้น้องๆ ได้พัฒนาทักษะด้านดนตรีจากมิวสิกกูรูที่มีประสบการณ์มากขึ้น ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้น้องๆ ใน Class A รุ่นมัธยมศึกษาสามารถมาฟีเจอร์ริ่งกันได้มากขึ้น จากเมื่อก่อนต้องอยู่โรงเรียนเดียวกัน จึงเข้ามาสมัครแข่งขันได้ แต่ปีนี้แค่มีเพื่อนที่รู้จักและรักในเสียงดนตรีเหมือนกันสามารถรวมกลุ่มมาแข่งข้ามโรงเรียนได้
สำหรับน้องๆ นักดนตรีที่กำลังตามหาฝัน โอกาสมาถึงแล้ว งานนี้ บอกกันเลยว่าห้ามพลาด! เพราะเส้นทางการเป็นศิลปินมืออาชีพออยู่แค่เอื้อม สามารถสมัครเข้าประกวดได้ที่ Website : www.music.mahidol.ac.th/thepowerband และ Facebook : thepowerband.mahidol ตั้งแต่วันนี้ – 4 สิงหาคม 2566