เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตา สำหรับเทรนด์ค้าปลีกแห่งโลกอนาคต หรือ ค้าปลีกในยุคดิจิทัล หลังการเข้ามาของเทคโนโลยี และเทรนด์ผู้บริโภคในยุคหลังโควิดที่เปลี่ยนแปลงไป เข้ามา Disrupt อุตสาหกรรมให้เปลี่ยนไปมากขึ้น
“เดอะมอลล์ กรุ๊ป” (The Mall Group) คืออีกหนึ่งบิ๊กเนมค้าปลีกไทยที่เร่งปรับตัวด้วยการประกาศโรดแมพแผนยุทธศาสตร์สู่ดิจิทัลคอมเมิร์ซ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ธุรกิจดังกล่าว ด้วยการประกาศเดินหน้า OMNI-CHANNEL RETAIL เต็มรูปแบบ ด้วยการนำนวัตกรรม AI – ANALYTICS ขั้นสูงมาใช้ในโลกรีเทลเป็นครั้งแรก ด้วยการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ยุคดิจิตอล 5.0 ดึง AI – ANALYTICS ด้วยการเปิดตัว MONLINE , แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ สร้างแรงกระเพื่อมให้แวดวงรีเทลไทยได้เป็นอย่างมากตลอดที่ผ่านมา
ล่าสุด “เดอะมอลล์” ก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่เป็นครั้งแรกในแวดวงรีเทล ด้วยการเปิดตัวเวิร์สแพลตฟอร์ม “MNIVERSE” โลกเสมือนจริง (VIRTUAL WORLD) กับการเชื่อมต่อโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล 3D – IMMERSIVE – INTERACTIVE WEB 3.0 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “BE VIRTUAL FOR REAL EXPERIENCES” พร้อมผนึกพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 18 องค์กร 8 ประเภทธุรกิจ เปิดประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่มากกว่าการซื้อ-ขายบนโลกออนไลน์ หากแต่คือการตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่สร้างความพึงพอใจ และเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา
คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ในทุกๆปี เดอะมอลล์จะมีโจทย์หรือเป้าหมายให้กับตัวเองหนึ่งอย่างว่า ปีนี้บริษัทต้องการอะไร มี Goal อะไรที่วางไว้ ซึ่งการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้เราเริ่มมองหาแนวทาง และการพัฒนากลยุทธ์แบบ O2O ที่พัฒนามากขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมา แน่นอนปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่ “เดอะมอลล์” เร่งเครื่อง Digital Commerce บนโลกเมตาเวิร์สอย่างเป็นทางการครั้งแรก
ส่อง 5 เทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยน จุดเริ่มต้นของการก้าวสู่โลก “เมตาเวิร์ส” ครั้งแรก
ทั้งนี้จากผลการทำ Research ของเดอะมอลล์ พบว่า หลังการรระบาดของโควิดเริ่มคลี่คลาย ประชาชนเริ่มกลัวโควิดน้อยลง ขณะเดียวกันก็ออกมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตคือ คนเริ่มมาใช้บริการที่ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกันกลับพบว่าเทรนด์ของผู้บริโภคที่มาใช้บริการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากใน 5 ข้อ ประกอบไปด้วย
1. Physical Experience is Back : การสัมผัสประสบการณ์จริงๆจะกลับมา
2. Customers Trend to be Less Loyal Than Before : ความภักดีของลูกค้าน้อยลง โปรดักท์และการสวิชชิ่งแบรนด์จะมีมากขึ้น
3. Search & Compare are Rising : การค้นหายังเป็นที่นิยมต่อเนื่อง
4. Research Offline Then Buy Online : สัมผัสสินค้าหน้าร้านแล้วไปซื้อผ่านเน็ต : จากนี้ไป GO 5 Year เราจะทำอะไรต่อไป ตอนนี้เราอยู่ในจุดเริ่มต้น การจะเร็วกว่า 5 ปี แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง
5. New Payment Options and Growth of Cashless : การชำระเงินรูปแบบใหม่ และการเติบโตที่รวดเร็วของสังคมไร้เงินสด
จากพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปทั้ง 5 ประการหลังการระบาดของโควิด-19 ทำให้ปีนี้เดอะมอลล์ ตั้งโจทย์การทำตลาดด้านดิจิทัลแบบ Full Year อย่างเต็มกำลังครั้งแรก หลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย เพื่อต่อยอด “Customer Centric City” ที่ทางค่ายให้ความสำคัญมานาน สู่การเปิดประสบการณ์ใหม่บนโลกเมตาเวิร์ส ที่ต่อยอดมาจาก Data & AI เป็นครั้งแรก
เพราะการมีแค่ออฟไลน์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ทุกคนมองหาการจับจ่าย ประสบการณ์ที่มาจากทั้งออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป ดังนั้นการทำธุรกิจรีเทลจากนี้ไปจำเป็นต้อง Hybrid หรือมีการผสมผสานทุกช่องทางที่ทำได้ในการตอบโจทย์ “Customer Centric” แก่ลูกค้า เพราะ “เดอะมอลล์” มองว่า Digital เป็นเรื่องที่ Update ตลอดเวลา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสตาร์ทเร็วกว่าใครเพื่อให้ตอบโจทย์ และสามารถอัพเดทได้ทันทีที่ลูกค้าต้องการ
จึงเป็นที่มาของการ Diversify ไปยังแผนธุรกิจใหม่ๆ บนโลกดิจิทัลอย่าง “MNIVERSE” บนโลกเมตาเวิร์ส ที่ “เดอะมอลล์” ซุ่มพัฒนาและให้ความสำคัญตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ครบทุกมิติ ตั้งแต่สร้างตัวตนในรูปแบบ AVATAR และร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ มากมายในโลกเสมือนเวอร์ชวลช้อปปิ้ง, ชมสตรีมมิ่งหนังและคอนเสิร์ต เสริมทักษะกับกิจกรรมสัมมนา อบรมหลักสูตรต่างๆ และเพลิดเพลินไปกับดิจิทัลอาร์ตแกลเลอรี่บนโลกเสมือนจริง
การเปิดตัว “MNIVERSE” จึงเป็นการสร้างปรากฏการณ์สุดแปลกใหม่ของศูนย์การค้าบนโลกเมตาเวิร์ส ด้วยการนำเทคโนโลยี 3D – IMMERSIVE – INTERACTIVE WEB 3.0 สร้างเป็นแพลตฟอร์มภายใต้คอนเซ็ปต์ “BE VIRTUAL FOR REAL EXPERIENCES” ผู้คนจากทุกมุมโลก ร่วมสร้างตัวตน AVATAR ที่เชื่อมกับโลก METAVERSE ได้ทันที โดยมุ่งเน้น 3 แกนหลัก PLAY-TO-EARN, PLAY-TO-WIN และ PLAY-TO-LEARN โดยให้สร้างพื้นที่และจัดกิจกรรมการตลาดกับผู้คนในโลกเสมือนได้ตลอด 24 ชั่วโมง นับเป็นรีเทลแห่งแรกในประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่โลกเมตาเวิร์สที่สร้าง VIRTUAL WORLD ตอบสนองไลฟ์สไตล์ เพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ Future Retail ในอนาคต
“เราได้ยินคำว่า METAVERSE ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าทุกคนอยากลองอะไรใหม่ๆ เราแค่มีบทบาทเป็นท้าวแชร์ ให้ทุกคนได้เวียนกันมาเล่น ซึ่งในปีแรกเราหวังแค่เรื่องของ Engagement เพื่อสร้าง Relationship ในการเข้าถึงลูกค้าให้มีการรับรู้และเข้าถึงมากที่สุดก่อน”
ด้วยการเชื่อม 3 เรื่องหลักในโลกธุรกิจเข้ามาไว้ใน MNIVERSE ตั้งแต่ Foster Community, Enrich Customer Experience และ Build Shoppers’ Engagement มา Transform สู่การเป็นทุกอย่างให้ลูกค้า ทั้ง Marketplace Cenyer , Service Center , Investment Center ฯลฯ ที่ต้องตอบโจทย์เรื่องทั้งหมดให้ได้
สร้าง First Relationship ดึงฐานลูกค้าใหม่ จับขุมกำลัง Gen Z
อย่างไรก็ตามแม้ปัจจุบัน “เดอะมอลล์” จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าไปยังทุกช่วงวัย แต่ต้องยอมรับว่าฐานลูกค้าหลักประกอบไปด้วย Gen Alpha 2% , Gen Z 7% , Gen Y 48%, Gen X 35% และ Baby Boomer 9% การมี Gen X กับ Gen Y เป็นฐานลูกค้าหลักแม้จะมีกำลังซื้อสูง แต่ไม่เพียงพอต่อการสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆในอนาคต
เพราะมองว่าด้วยตัวเลขจำนวนประชากร Gen Z ที่มีอยู่กว่า 25% ทั่วประเทศเมื่อเทียบกับสัดส่วนลูกค้ากลุ่มนี้ที่เดอะมอลล์มีอยู่เพียง 7% นับว่าเป็นตัวเลขที่ยังน้อย ดังนั้นการจะดึงลูกค้ากลุ่มนี้ให้มากขึ้น การเปิดตัว MNIVERSE จึงกลายเป็นคีย์สำคัญ ในการเพิ่มสัดส่วนลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเพราะง่าย สะดวกสบาย สามารถร่วมสนุกได้ทุกที่ โดยวางเป้าหมายเจาะกลุ่ม Gen Z เพิ่มเป็น 10% ในช่วง 8 เดือนหลังจากนี้
ทั้งนี้เพื่อให้ก้าวทันความต้องการของ Gen Z ความพิเศษของ MNIVERSE จะต้องเติมประสบการณ์การช้อปปิ้งบนโลกออนไลน์ ที่มากกว่า “การซื้อมา-จ่ายไป” หากแต่คือการเติมจุดเด่นต่างๆ ซึ่งจะเป็นทั้ง VIRTUAL COMMUNITY ,VIRTUAL MALL และ VIRTUAL PLAYGROUND ในอนาคตที่เชื่อมต่อทั้งโลกเสมือนและโลกจริงเข้าไว้ด้วยกัน หรือการเป็น Digital Product ไปยัง Digital Asset เพื่อตอบโจทย์อินไซต์ของเหล่า Gen Z
นั่นทำให้การเปิดโลกใหม่ สู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ คือสิ่งจำเป็น “ไม่ใช่การให้ลูกค้าวิ่งเข้าหา” หากแต่เป็นการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ “เพื่อเข้าหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่าง Gen Z” ด้วยการมอบประสบการพิเศษผ่าน MNIVERSE ตั้งแต่สามารถร่วมพูดคุยกับผู้คนในโลกเสมือน (M CITIZEN) แบบ INTERACTIVE ในรูปแบบ VOICE หรือ TEXT CHAT และพบกับศิลปินดาราคนโปรดในรูปแบบ AVATAR ที่มา LIVE! MEET MEET & GREET พร้อมกันนี้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังได้เปิดตัว THE MALL LIFESTORE สาขาแรกที่อยู่ในโลกเมตาเวิร์ส
ซึ่งลูกค้าสามารถคลิกช้อปในโลกเสมือน แล้วรอรับสินค้าจริง นอกจากนี้ MNIVERSE ยังมอบความบันเทิงอีกมากมาย อาทิ ดูสตรีมมิ่งหนังใหม่ และไลฟ์คอนเสิร์ตแบบ EXCLUSIVE เข้าสัมมนาหาความรู้ใหม่จากสถาบันการศึกษาชื่อดังมากมาย ตลอดจนเพลิดเพลินไปกับดิจิทัลอาร์ต แกลเลอรี่จากศิลปิน NFT ที่จะผลัดเปลี่ยนเข้ามาแสดงผลงานให้ชมและสามารถคลิกซื้อได้เลย
MNIVERSE จึงไม่ใช่แค่ตอบโจทย์โลกรีเทลยุคใหม่เท่านั้น หากแต่เป็นการสร้าง First Relationship หรือการสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ เพื่อปูทางไปยังการขยายฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่ม Gen Z กลุ่มคนที่ชอบเล่นเกมส์หรือกลุ่มคนที่เปิดรับประสบการณ์ใหม่ให้มากขึ้น
“เมื่อลูกค้าหาเงินเองได้ เงินเดือนก้อนแรกเขามาหาเรา อาจจะมาทานข้าว มาช้อปปิ้ง หรือมาเดินเล่น นั้นคือ First Impression ที่เขานึกถึง เราก็อยากเป็นเรื่องแรกในใจคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z นั่นคือโจทย์ใหญ่ของการพัฒนา Mniverse ที่จะยิ่งใหญ่กว่าการเป็นซูเปอร์แอปอย่างแน่นอน “คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ปกล่าวถึงเป้าหมายของ MNIVERSE
เปิด 5 โซน MNIVERSE กับเฟสแรกที่เชื่อม O2O เข้าด้วยกัน
โดยความพิเศษของ MNIVERSE จะประกอบไปด้วย 5 โซน MNIVERSE ที่เชื่อมต่อโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน โดยใน Stage แรกจะประกอบด้วย
1. M LIFESTORE ห้างสาขาใหม่ที่เนรมิตขึ้นมาในโลกเสมือน ที่มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษและโค้ดส่วนลดจากหลากหลายแผนก ให้ลูกค้าสามารถคลิกช้อปสินค้าได้ทันทีผ่าน MONLINE.COM
2. M SHOPPING COMPLEX โซนศูนย์การค้า กับหลากหลายร้านค้า แบรนด์ดัง และพันธมิตรที่มามอบสิทธิพิเศษให้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ FASHION , ENTERTAINMENT และ LIFESTYLE พร้อมสิทธิพิเศษจากเดอะมอลล์ พร้อมรับรางวัลมากมาย
3. MNIVERSE SOCIAL CLUB โซนการเรียนรู้, สัมมนา และเวิร์คช็อปต่างๆ อาทิ SKY BAR : ชมตัวอย่างภาพยนตร์ใหม่ – CO – WORKING SPACE: กับหลักสูตรออนไลน์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังทั้ง หลักสูตร TUXSA ปริญญาโทออนไลน์ โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ SkillLane และเสริมความรู้กับคอนเทนต์สนุกๆ โดยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ อาทิ หลักสูตร AR/VR, GAME CHANGE 5G เป็นต้น ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มสอนหลักสูตรออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด
4. MNIVERSE ARENA เวอร์ชวลฮอลล์ขนาดใหญ่ ที่เปิดให้ศิลปินดังหรือพาร์ทเนอร์ สามารถไลฟ์สตรีมมิ่งคอนเสิร์ต หนัง โดยแบ่งเป็น VIRTUAL HALL ต่างๆ ได้แก่ CONCERT HALL , FORESTA ARENA และ PRIVATE HALL
5. MNIVERSE PLAYGROUND พื้นที่สำหรับกิจกรรมต่างๆ อาทิ เกม MNIVERSE RUN วิ่งเก็บเพชร รับ M COIN และเกม MNIVERSE CAR RACING ซิ่งให้สุด แล้วไปรับคูปองส่วนลดสูงสุด 500 บาท จากบัตรเดบิตและพรีเพด SCB M VISA โดยสามารถสะสม M COIN รับสิทธิพิเศษ และของรางวัลมากมายที่ใช้ได้ทั้งในโลกเสมือนและในโลกจริง (REAL FUN)
โดยคาดว่าในช่วง 4 เดือนแรกหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้คาดการณ์จะมีผู้ท่องโลก MNIVERSE กว่า 100,000 USER และมีจำนวนผู้เข้ามาร่วมกิจกรรมต่างๆกว่า 500,000 ครั้งในสิ้นปีนี้ ก่อนที่จะเดินหน้าเปิดตัว Mseller Center สำหรับผู้เช่าและขายออนไลน์ ในช่วงไตรมาส 3 , Mbiz Platform เพื่อสนับสนุนผู้เช่าและพาร์ทเนอร์ ในอนาคตอันใกล้
สำหรับผู้ที่สนใจอยากสร้าง AVATAR เป็นของตัวเอง สามารถร่วมสนุกง่ายๆใน MNIVERSE ได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ M CARD APPLICATION, www.Mniverse.co และ www.facebook.co.th/Mniverseworld โดยสามารถเข้าผ่านได้ทั้งมือถือและคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นสามารถสร้าง AVATAR และเลือกชุดแต่งกายในแบบของคุณได้หลากหลายตามเทศกาล อาทิช่วง SUMMER พบกับเสื้อผ้าสไตล์ ON THE BEACH, ชุดเทศกาลสงกรานต์ จาก VIRTUAL COLLECION โดยแบรนด์ชั้นนำสุด EXCLUSIVE เพื่อใส่ในโลกเสมือนและสามารถคลิกซื้อเสื้อผ้าคอลเลคชั่น EXCLUSIVE เพื่อใส่ในโลกจริงได้อีกด้วย
พิเศษร่วมฉลองเปิดตัว MNIVERSE ลุ้นรับรถยนต์ TOYOTA YARIS รุ่น SPORT มูลค่า 609,000 บาท และรางวัลอื่นอีกมากมายรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท เพียงคลิกร่วมสนุกผ่าน M CARD APPLICATION, www.Mniverse.co , www.facebook.co.th/Mniverseworld ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป