อาจเป็นการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Tinder ในการประกาศตัวว่าเป็นแพลตฟอร์มเพื่อช่วยตามหารักแท้ และทำให้พวกเขามียอดปัดซ้ายปัดขวามากกว่าหนึ่งพันล้านครั้งภายในเวลา 2 ปีนับจากเปิดตัวเมื่อปี 2012 แต่นั่นอาจเป็นความสวยงามของ Tinder ในยุคเริ่มแรก ขณะที่ในระยะหลัง หลายคนอาจพบว่า ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของตัวแอปกลับนำไปสู่การตั้งคำถามว่า จริง ๆ แล้ว Tinder ต้องการให้เราได้เจอรักแท้จริงหรือไม่
สำหรับฟีเจอร์ที่นำไปสู่การตั้งคำถามดังกล่าวพบว่ามีมากมาย เช่น Tinder Gold ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2017 โดยสมาชิกที่ใช้งาน Tinder Gold จะถูกคิดค่าบริการเดือนละ 600 – 1,000 บาท แลกกับการได้เข้าถึงข้อมูลว่า มีใครเข้ามาปัดขวา (ถูกใจ) ตนเองกันบ้าง แถมยังสามารถบูสต์โปรไฟล์ได้เดือนละหนึ่งครั้งด้วย ซึ่งทางบริษัทเผยว่า ฟีเจอร์นี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับยอดไลค์มากกว่าเวอร์ชันฟรีถึง 60%
หรือ Tinder Platinum ที่มาในราคา 700 – 1,400 บาทต่อเดือน โดยรวบตึงฟีเจอร์ของ Tinder Gold เข้ามา แล้วเพิ่มความสามารถอย่างการส่งเมสเสจไปหาคนที่เราสนใจได้ก่อนที่จะทำการ Matching เป็นต้น
กลไกอีกประการหนึ่งของ Tinder คือการนำข้อมูลส่วนตัวและภาพของผู้ใช้งานไปคำนวณเป็นความน่าดึงดูดของโปรไฟล์ และใช้ในการแสดงผลเป็นลำดับต้น ๆ ทำให้หลายคนยึดติดกับคะแนนดังกล่าวจนเกินพอดี และไม่สามารถถอนตัวออกจากแพลตฟอร์มได้นั่นเอง ซึ่งเทคนิค และฟีเจอร์ที่ Tinder สร้างขึ้นนั้น นำไปสู่ผลประกอบการที่น่าสนใจ โดยพบว่า
- ปี 2017 Match Group มีรายได้ 3,307 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ปี 2018 Match Group มีรายได้ 1,730 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ปี 2019 Match Group มีรายได้ 2,051 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ปี 2020 Match Group มีรายได้ 2,391 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ปี 2021 Match Group มีรายได้ 2,983 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ปี 2022 Match Group มีรายได้ 3,189 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถ้าทุก ๆ ความรัก ทุก ๆ การจับคู่ที่เกิดขึ้น สามารถแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ของแพลตฟอร์ม ปี 2022 อาจเป็นปีที่รักแท้เข้ามาช่วยพยุงกิจการของ Match Group ได้อีกครั้ง แม้ว่ามูลค่าหุ้นจะลดลงถึง 60% ก็ตาม โดยในการเปิดเผยผลประกอบการของ Match Group บริษัทแม่ของแอปพลิเคชัน Tinder ในไตรมาส 4 ของปี 2022 พบว่ามีรายได้ลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2021 ขณะที่ตัวเลขผู้ใช้งานแบบจ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มก็พบว่าลดลง 1% เช่นกัน
นอกจากนั้น พวกเขายังเป็นอีกหนึ่งบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าหุ้นลดลงอย่างมากในปี 2022 โดยลดไปถึง 60%
จากการเติบโตในปี 2021 สู่การถดถอยในปี 2022
เมื่อหันมาดูผลประกอบการของ Match Group ย้อนหลังพบว่า ไตรมาส 4 ของปี 2021 นั้นทั้งรายได้และจำนวนผู้ใช้บริการแบบจ่ายเงินเติบโตพุ่งพรวด โดยรายได้เพิ่มขึ้น 24% ส่วนผู้ใช้งานแบบจ่ายเงินโต 15% เลยทีเดียว
นักวิเคราะห์จากชาติตะวันตกให้ความเห็นว่าความร้อนแรงของ Tinder ในด้านผู้ใช้งานที่พุ่งสูงในปี 2021 มาจากการที่ประเทศต่าง ๆ ยังคงจำกัดการเดินทางเพราะกังวลเรื่องการระบาดของ Covid-19 ก่อนจะมาเริ่มผ่อนคลายกันในช่วงปลายปี 2022 เพื่อให้เศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัวกลับมา ทำให้ในเวลานั้น หลายคนได้รับความเพลิดเพลินจากการปัดซ้าย-ขวาบนหน้าแอป และใช้เวลากับแอปนานนับชั่วโมงในกิจกรรมเหล่านี้ จนนำไปสู่รายได้ที่น่าตื่นตาตื่นใจ (Tinder เคยแจกชุดตรวจ Covid-19 ให้กับผู้ใช้งานบางรายเพื่อรณรงค์ให้เกิดการนัดพบกันแบบรับผิดชอบด้วย)
แต่สำหรับปี 2022 สถานการณ์ของ Tinder พบว่ามีความท้าทายอยู่หลายข้อ เช่น ค่าเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่ามากขึ้นในช่วงปลายปี หรือกรณีที่หนึ่งในตลาดหลักของ Tinder อย่างสหภาพยุโรปเผชิญวิกฤติด้านพลังงาน ทำให้ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ พุ่งสูง และบีบให้ผู้คนต้องรัดเข็มขัด ประหยัดค่าใช้จ่าย จนนำไปสู่จำนวนผู้ใช้งานแบบจ่ายเงินที่ลดน้อยถอยลงไป นอกจากนั้น Tinder ยังมีปัญหาใหญ่เรื่องการ Harassment หรือการล่วงละเมิด – การข่มขู่ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ใช้งานปรากฏเป็นระยะด้วย
Tinder กับปฏิบัติการทวงบัลลังก์ในปี 2023
ปี 2022 อาจเป็นปีที่โหดร้ายก็จริง แต่รายได้จาก Tinder ก็ไม่ธรรมดาอยู่ดี โดย Tinder ทำรายได้ให้กับ Match Group เกินครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด และ Bernard Kim ซีอีโอคนใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อพฤษภาคม 2022 ก็เริ่มปรับโครงสร้างองค์กร และเตรียมออกฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้กับ Tinder เพื่อรับการแข่งขันในปี 2023 กันแล้ว โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นมีตั้งแต่ การออกแบบหน้าโปรไฟล์ใหม่, โฆษณา, ฟีเจอร์ในการหาคู่แบบ Personalized รวมถึงการพัฒนาโหมดแบบไม่ระบุตัวตน (Incognito Mode) เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานด้วย
จากการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ดังกล่าว ร่วมกับการขยายตลาดเพิ่มนอกจากอเมริกาเหนือ, ยุโรป และประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทำให้ Match Group คาดการณ์ว่า ปี 2023 บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 5 – 10% โดยสิ่งที่ Match Group มองว่าเป็นความท้าทายที่แอปหาคู่ต้องเผชิญ ได้แก่
- คู่แข่งที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดอเมริกา
- เศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะถดถอย ตลอดจนสถานการณ์เงินเฟ้อที่พุ่งสูง นำไปสู่การรัดเข็มขัดของประชาชน ทำให้อาจมีเงินมาจ่ายให้แอปหาคู่ได้ไม่มากเท่าเดิม
ทางบริษัทยังได้คาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาสแรกของ 2023 นั้น บริษัทอาจทำได้ที่ 790 – 800 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 817.3 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย อย่างไรก็ดี หากผลลัพธ์จากการปรับปรุงพัฒนาแอปพลิเคชันของ Bernard Kim ออกมาในเชิงบวก ก็เป็นไปได้ว่า พวกเขามีโอกาสฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังได้เช่นกัน
จากสิ่งที่ Match Group เผยกับนักลงทุน ไม่ผิดหากจะมีการตั้งคำถามว่าแอปหาคู่อย่าง Tinder กำลังช่วยเราหาคู่จริง ๆ หรือทำให้การหาคู่กลายเป็นสิ่งที่ท้าทาย และต้องจ่ายเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือเปล่า รวมถึงคำถามที่ว่า แท้จริงแล้ว พวกเขาคือแอปที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนที่จ่ายเงินได้รับความสนใจ – ยอดไลค์เป็นการตอบแทน มากกว่าการได้เจอคนรักอย่างแท้จริงหรือไม่ด้วยนั่นเอง
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand