บิลเกตส์ (Bill Gates) เผย “GPT” ผลงานการพัฒนาของ OpenAI คือเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกครั้งที่สองในชีวิตที่เขาได้สัมผัสกับตาตัวเอง รองจากการพัฒนา “GUI” (Graphic User Interface) ในช่วงปี 1980 ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสั่งการได้ผ่านเมาส์ แทนการใช้ Command Prompt แบบที่คนยุคหนึ่งเคยใช้สั่งการระบบปฏิบัติการ DOS
ส่วนที่น่าสนใจกว่าอาจเป็นเรื่องที่ว่า ทั้งสองความว้าวนี้ (ทั้ง GPT และ GUI) เป็นผลงานของบริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่เขาก่อตั้งขึ้นมานั่นเอง โดยอาจกล่าวได้ว่า ยุคทองของ GUI ก็คือยุคที่บิล เกตส์เปิดตัวระบบปฏฺิบัติการวินโดวส์ (Windows) ที่มีปุ่มสตาร์ทอันเป็นเอกลักษณ์ และสามารถควบคุมได้ผ่านการคลิกเมาส์ ซึ่งถือเป็นยุคที่ทำให้คอมพิวเตอร์พีซีได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และทำให้ชื่อของบิล เกตส์กลายเป็น Big Name ของวงการเทคโนโลยีโลกในที่สุด
บิล เกตส์ยังกล่าวอีกด้วยว่า รากฐานของ AI ที่ก้าวล้ำนำหน้าในวันนี้เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ทั้งระบบการประมวลผล คอมพิวเตอร์พีซี อินเทอร์เน็ต และโมบายล์โฟน ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน วิธีการเรียนรู้ รูปแบบการเดินทาง การรักษาสุขภาพ ฯลฯ ของผู้คน
ก้าวข้ามยุค Smartphone ของสตีฟ จ็อบส์?
อย่างไรก็ดี หากสังเกตในย่อหน้าด้านบนจะพบว่า บิล เกตส์เลือกใช้คำว่า Mobile Phone แทน Smartphone ซึ่งในจุดนี้ พบว่าทำให้บิล เกตส์ถูกทักท้วงจากชาวเน็ตพอสมควร เพราะในความเป็นจริง หลังจากยุคทองของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ มาจนถึงยุคของ GPT นั้น อาจกล่าวได้ว่ามียุคทองของ Smartphone แทรกอยู่นานนับ 10 ปี อีกทั้ง Smartphone ยังได้รับความนิยม และสามารถเข้าถึงผู้คนได้นับพันล้านคนทั่วโลก ซึ่งความนิยมในสมาร์ทโฟนนี้เองคืออีกหนึ่งปัจจัยในการสร้าง Data ปริมาณมหาศาล จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการเทรน AI ให้มีประสิทธิภาพล้นเหลือดังเช่นทุกวันนี้
นอกจากนั้น ในยุคสมาร์ทโฟน ยังทำให้โลกได้รู้จักกับ iPhone ผลงานการพัฒนาของ Steve Jobs อีกด้วย ซึ่งหากใครยังพอจำได้ ไมโครซอฟท์ในยุคนั้นก็เคยเข้าซื้อกิจการของ Nokia เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจ Mobile Phone ให้กับบริษัทมาแล้วเช่นกัน