ผู้บริหารบลูบิค กรุ๊ป (BBIK) มองโอกาสธุรกิจยุคใหม่ต้องเติบโตไปสู่การเป็น “Digital-First Company” เพื่อรับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของคน Gen MZ (กลุ่ม Gen Millennials และ Gen Z) ที่กำลังก้าวขึ้นเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมและการบริโภคของโลกในอนาคตอันใกล้ พร้อมแนะ 5 แนวทางสร้างองคก์กร
คุณพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เผยถึงข้อดีของการปรับเปลี่ยนเป็นเป็น “Digital-First Company” ว่า สามารถสร้างความยืดหยุ่น และสร้างการเติบโตให้องค์กรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี อีกทั้งยังเป็นการปูรากฐานสู่ความสำเร็จในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอย่างต่อเนื่องขององค์กรในทุกอุตสาหกรรม
“Digital-First Company เป็นหัวใจสำคัญทำธุรกิจยุคนี้ แต่การจะบรรลุผลสำเร็จในการทำ Digital-First Company ต้องอาศัยความความรู้ความเชี่ยวชาญหลายด้านประกอบกัน จึงทำให้เกิดกระแสนิยมการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานในองค์กร (Insource) และทีมงานภายนอก (Outsource) ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มมุมมองใหม่ในการทำธุรกิจแล้ว ยังเป็นการเสริมในงานส่วนที่องค์กรไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะได้อีกด้วย เห็นได้จากบริษัทเทคฯ ชั้นนำระดับโลกหลายองค์กรมากมายที่มีการใช้บริการบริษัทที่ปรึกษา เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด รวมถึงลดข้อผิดพลาดและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน” คุณพชร กล่าว
ผู้บริหารบลูบิค ยังได้ยกตัวอย่าง 5 Capability สำคัญในการขับเคลื่อนสู่ “Digital-First Company” ที่สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศทางธุรกิจ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสำหรับองค์กรยุคใหม่ ซึ่งประกอบด้วย
Super App
ความนิยมของ Super App พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีนี้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้จริง และเป็นช่องทางสร้างการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้หลายองค์กรเร่งเดินหน้าพัฒนา Super App ของตนเองในช่วงที่ผ่านมา แต่การพัฒนา Super App ต้องมี Core Feature และระบบที่ซับซ้อนขั้นสูง อีกทั้งต้องมีองค์ประกอบเกี่ยวกับ Microservice, Data Sharing และ Mini App ที่ดี รวมถึงเม็ดเงินลงทุนที่เพียงพอ ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ระดับ 100 ล้านบาทขึ้นไป
นอกจากนี้ ผู้พัฒนายังต้องมีความเชี่ยวชาญและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการรองรับการขยายตัวในอนาคต (Scalability) การขยายหรือเพิ่มขีดความสามารถ (Extensibility) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ความสามารถในการดูแลรักษาระบบที่ต้องง่าย (Maintainability) มีประสิทธิภาพการทำงาน (Efficiency) และโซลูชันที่ต้องอัปเดตให้ตอบโจทย์การใช้งานอยู่เสมอ ดังนั้นประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจึงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา Super App เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา อาทิ ระบบล่มที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ ถูกโจมตีทางไซเบอร์และการหารายได้จาก Super App เป็นต้น
เทคโนโลยีขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์ (Augmented Intelligence)
Augmented Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง ที่ประสานการทำงานร่วมกันระหว่างเทคโนโลยี Artificial Intelligence – AI, Machine Learning – ML, Deep Learning, Big Data Analytics และ Human Intelligence และมนุษย์ด้วยการใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อผลลัพธ์การทำงานที่ดีที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือมากกว่าทำงานแทนมนุษย์เหมือน AI
การพัฒนา Augmented Intelligence ให้สำเร็จและเป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจทั้งในฝั่งธุรกิจและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง เพราะการพัฒนาหรือนำ Augmented Intelligence ไปใช้อย่างผิดวิธีอาจส่งผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจได้
Digital Immunity and Trust
การสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรต้องเริ่มตั้งแต่ตัวพนักงาน กระบวนการ และเทคโนโลยีโดยการผสมผสานกลยุทธ์และวิศวกรรมซอฟต์แวร์หลายอย่าง เพื่อป้องกันความเสี่ยงและยกระดับความปลอดภัยให้ผู้ใช้งาน ซึ่งการสร้างมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานเกิดความเชื่อมั่น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์
Sustainability Technology
เป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่ใช้ ตอบโจทย์กระแส ESG ที่กำลังอยู่ในความสนใจขององค์กรทั่วโลก โดยหลักการพื้นฐานแล้วเทคโนโลยีมีส่วนสนับสนุนและเกี่ยวข้องทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ยกตัวอย่างเช่น การย้ายข้อมูลขึ้นระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มช่วยลดการใช้กระดาษจำนวนมหาศาล การเพิ่มช่องทางการสื่อสารและพื้นที่บนโลกออนไลน์ให้กับชุมชน/สังคม และการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจด้วยด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เป็นต้น ฉะนั้นองค์กรใดที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำ ESG จึงควรเริ่มต้นด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี
Agile Operations
แนวคิดการทำงานสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ใช้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกธุรกิจ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ความต้องการลูกค้า เทคโนโลยีใหม่ ๆ จนถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัวกว่าเดิม อีกทั้งยังช่วยให้รักษาขีดความสามารถในการแข็งขันและบรรลุเป้าหมายการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันได้อย่างราบรื่น
“การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมากขึ้น เพราะการดำเนินงาน (Execution) ที่ช้าและไม่สอดรับอัตราความเร็วของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล อาจทำให้องค์กรต้องพบกับอัตราต้นทุนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ (Opportunity Cost) มูลค่ามหาศาล จนถึงต้องออกจากธุรกิจหรือเสียตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมไปก็ได้ เหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งในความท้าทายที่ผู้บริหารทั่วโลกกำลังเผชิญ แม้จะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างข้อได้เปรียบ แต่หากขาดความรู้ความเชี่ยวชาญมากพอในการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับธุรกิจและสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ก็อาจส่งผลเสียได้ จากปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้ บลูบิค เร่งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมแกร่งด้านบริการที่สามารถรองรับทุกความต้องการของลูกค้าและช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว” คุณพชร กล่าวปิดท้าย
สำหรับ บลูบิค ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ที่ปัจจุบันได้อนุมัติจัดตั้งบริษัทในประเทศเวียดนาม ฮ่องกง อังกฤษ และอินเดีย และกำลังศึกษาโอกาสทางธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา
ตั้งเป้าโต 120%
นอกจากนั้น ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้มีการควบรวมสองบริษัทซึ่งเป็น Tech Company ได้แก่ บริษัท วัลแคน ดิจิทัล เดลิเวอรี่ จำกัด (VDD) และ บริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด (Innoviz) และมีแผนจะทำการ Synergy ระหว่างกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับงานและเปิดโอกาสรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ด้วย โดยสะท้อนผ่านมูลค่าแบ็คล็อกของบลูบิคและบริษัทในเครือ ณ วันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่สูงถึง 979 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น บลูบิคจำนวน 454 ล้านบาท บริษัทร่วมค้า (JV) 157 ล้านบาท และ VDD และ Innoviz อีก 368 ล้านบาท (โดยมูลค่าแบ็คล็อกของ VDD และ Innoviz ที่บันทึกเป็นรายได้เข้าบริษัทแม่ จะเป็นมูลค่าแบ็คล็อกคงเหลือ ณ วันที่ปิดดีลเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา)
นอกจากปัจจัยสนับสนุนข้างต้นแล้ว ปี 2566 จะเป็นปีแรกที่บริษัทฯ สามารถเติบโตแบบ Inorganic Growth หลังปิดดีลควบรวมกิจการ VDD และ Innoviz เสร็จสิ้น ทำให้สามารถบันทึกรายได้และกำไรของทั้งสองบริษัทได้ตั้งแต่ Q1/66 อีกทั้งกลุ่มบริษัทยังได้รับอานิสงส์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI อีกด้วย
ดังนั้น บริษัทฯประเมินว่าผลประกอบการปี 2566 จะโตได้ถึง 120% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 100% ซึ่งจะเป็นการทำนิวไฮต่อเนื่อง 7 ปีซ้อนต่อจากปี 2565 ที่ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทฯโตทุบสถิติต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ถึง 70% ต่อปีเลยทีเดียว