“สิงห์ เอสเตท” เดินหน้ารุกธุรกิจปี 2566 ดัน 4 ธุรกิจ “ที่อยู่อาศัย-ออฟฟิศ-โรงแรม-นิคมอุตฯ” สร้างความหลากหลายพอร์ตโฟลิโอ ตั้งเป้ารายได้รวม 16,700 ล้านบาท เติบโต 34% สร้างกำไร All-time High ชูไฮไลต์แนบราบเปิดตัวบ้านหรู 550 ล้านบาท
คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าวว่าปี 2565 บริษัทสร้างรายได้ 12,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 62% จากยอดจองโครงการ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส” ทำเลพัฒนาการ 32 สูงถึง 77% หลังปรับโครงสร้างธุรกิจและรุกเข้าสู่การพัฒนาบ้านแนวราบเต็มตัว
ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR ทำรายได้ทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 8,700 ล้านบาท ขึ้นแท่นผู้ประกอบการโรงแรมในไทยที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ จากปัจจัยหนุนการเปิดประเทศ ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 28% จากปีก่อนหน้า
กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานมีสัญญาณฟื้นตัวจากการเช่าพื้นที่ไต่ระดับสูงขึ้นหลังโควิดคลี่คลาย และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปีก่อนได้กว่า 77 ไร่
“ปี 2566 เป็นปีที่สำคัญมากของสิงห์ เอสเตท ภายใต้กลยุทธ์ S EXCELS คือการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ”
โดยวางเป้าหมายดันกำไรสู่ All-time High ใน 4 พอร์ตฯ ธุรกิจ ด้วยรายได้รวม 16,700 ล้านบาท เติบโต 34% ชูกลยุทธ์เพิ่มแต้มต่อธุรกิจ เน้นการสร้าง Synergy ระหว่าง 4 ธุรกิจ และความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอด 3 ปี
เปิดกลยุทธ์ 4 ธุรกิจ ปี 2566
1. ธุรกิจที่พักอาศัย
ปีนี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ ตอบโจทย์ Lifestyle ที่ทันสมัย บนทำเลศักยภาพ ขยายฐานเจาะตลาดหลากหลายเซกเมนต์ อีก 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท
ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 15-30 ล้านบาท และระดับราคา 30-50 ล้านบาท ไฮไลต์ Cluster Home ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป พร้อม Flagship Cluster Home Project ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้นสูงถึง 550 ล้านบาทต่อหลัง ในทำเลสุขุมวิท
ส่วนตลาดคอนโด “สิงห์ เอสเตท” ได้ขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 จากเดิม 50% โดยเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดจากพันธมิตร “ฮ่องกงแลนด์” ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวเต็ม 100%
2. ธุรกิจสำนักงานเช่า
ปัจจุบันอาคารสำนักงานเช่า 3 โครงการ คือ สิงห์ คอมเพล็กซ์, ซันทาวเวอร์ส และ เอส เมโทร มีอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ในทุกโครงการ
ส่วนโครงการอาคารสำนักงานล่าสุด “เอส โอเอซิส” พื้นที่รวม 53,000 ตารางเมตร บนถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ ซึ่งเป็นย่านที่มีสำนักงานบริษัทพลังงานและเทเลคอม ทำให้มีบริษัทเกี่ยวเนื่องมีโอกาสเข้ามาเช่าพื้นที่สำนักงาน เอส โอเอซิส โดยพร้อมเซ็นสัญญาผู้เช่ารายใหญ่ในไตรมาส 2 ปีนี้ ตั้งเป้าผลประกอบการกลุ่มออฟฟิศเพิ่มขึ้น 20% ในปีนี้
3. ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” หรือ SHR
ปัจจุบันมีโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่ง คาดรายได้เติบโต 60% ขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% ทำให้มีรายได้รวม 10,000 ล้านบาท หรือเติบโต 20% โดยปี 2566 จะเน้นการเติบโตของอัตราการเข้าพักรวมแตะระดับ All-time High ที่ 75%
ขณะที่การหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนสินทรัพย์ (Asset Rotation & Enhancement) รวมถึงการปรับปรุงและยกระดับโรงแรมในเครือ ช่วยเสริมแกร่งผลประกอบการ สนับสนุนให้ SHR สามารถครองตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทยอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีจะมีการเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 6 ดาว ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SHR และพันธมิตรทางธุรกิจ คาดผลประกอบการจะสร้างกำไรให้กับบริษัทในระยะยาวได้
4. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
ในปี 2566 ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม “เอส อ่างทอง” เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือ 200 ไร่ โดยมีแรงหนุนสำคัญการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่ง BOI คาดการณ์อยู่ที่ 5-6 แสนล้านบาท
โดยมองโอกาสจากกลุ่มธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานและน้ำจำนวนมาก และธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดในการผลิตเป็นเงื่อนไขเพื่อขยายสู่ตลาดระดับสากล เนื่องจากนิคมตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง มีแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ แหล่งไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ และมีโรงไฟฟ้า 3 แห่งภายใต้ความร่วมมือกับ บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ซึ่งจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุดครบ 400 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าจะผลักดันส่วนแบ่งกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว
ผนึกกำลังพันธมิตรเพิ่มแต้มต่อธุรกิจ
นอกจากนี้มีแผนจับมือพันธมิตรทั้งภายในและภายนอกเครือสิงห์ เอสเตท เพื่อสร้างแต้มต่อทางธุรกิจ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง (Product differentiation)
โดยธุรกิจที่พักอาศัย เข้าสู่ตลาด Branded Residence ผ่านการร่วมมือกับ SHR พร้อมติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของโรงแรมในเครือ SHR ทั้งในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นการร่วมมือกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน รวมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราว 3 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ทำให้ธุรกิจโรงแรมสามารถบริหารต้นทุนทางพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไป และมีแผนขยายการใช้พลังงานสะอาดไปยังโครงการอื่นๆ ของบริษัทด้วย
นอกจากนี้เพื่อสร้างแต้มต่อในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Flex space ในธุรกิจออฟฟิศ มีแผนร่วมมือกับผู้ประกอบการชั้นนำซึ่งมีสาขาครอบคลุมศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญๆ และมีระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัย โดยจะเริ่มพัฒนาโครงการ Flex Space ในอาคารสำนักงานของบริษัท เป็นลำดับแรก
ขณะที่กลยุทธ์สร้างการเติบโตแบบ Speed to Market ของธุรกิจโรงแรม คือ Asset Light Model คือการรับบริหารจัดการโรงแรมอื่นๆ โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะแบรนด์ ทราย (SAii) ซึ่งเป็น Homegrown brand ผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม (Hotel Management Agreement) แต่รวมถึงการรับบริหารจัดการโรงแรมภายใต้แบรนด์โรงแรมอื่น (Third Party Operator) อีกด้วย
การผนึกความแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือ สิงห์ เอสเตท และความร่วมมือจากพันธมิตร จะเป็นปัจจัยสำคัญสร้างธุรกิจเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้านี้