เชื่อว่าการตั้งราคาของแบรนด์ในปัจจุบันจะมีสูตรสำเร็จซ่อนอยู่ โดยเฉพาะสินค้าระดับบนที่แบรนด์อาจต้องการใช้ “ราคา” เป็นตัวกรองผู้ซื้อร่วมด้วย แต่สำหรับ Telfar แบรนด์ดังจากนิวยอร์ก เจ้าของกระเป๋า Tote ที่ได้ชื่อว่าเป็น Bushwick Birkin กลับคิดต่างด้วยการตั้งราคาในรูปแบบไดนามิก แถมแนวคิดนี้ยังได้รับคำชมจากนักการตลาดมากมาย
สิ่งที่ Telfar ทำก็คือ การกำหนดให้ราคาสินค้าของตัวเองไปสตาร์ทที่ระดับราคา “ขายส่ง” และจะปรับราคาขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าถึงราคาระดับ “ขายปลีก” ที่ตั้งไว้ตามห้างสรรพสินค้า
แต่ถ้าสินค้าดังกล่าวขายหมดก่อนโดยที่ราคายังเพิ่มขึ้นมาไม่เท่ากับราคาขายปลีก ทาง Telfar ก็จะปล่อยให้สินค้าตัวนั้นมีราคาเท่านั้นไปเลย (สำหรับสินค้าคอลเล็คชั่นต่อไปที่จะปล่อยออกมา)
Telfar Clemens ผู้ก่อตั้งแบรนด์บอกว่า เหตุที่ตั้งราคาในลักษณะดังกล่าวเพราะเขาพบว่า มีหลายแบรนด์ที่ใช้ราคาเป็นเครื่องคัดกรองคนที่จะเข้ามาซื้อ แต่เขาไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับแบรนด์ของตนเอง ตรงกันข้าม เขาต้องการให้สินค้าของเขาเข้าถึงคนทุกคน จึงเลือกการตั้งราคาแบบนี้แทน
ราคาเมื่อวานไม่ใช่ราคาวันนี้!
ตัวอย่างการตั้งราคาสินค้าของทางแบรนด์ที่เกิดขึ้นจริงแล้วก็คือ เสื้อแขนยาว ที่ควรจะมีราคา 300 เหรียญสหรัฐฯ แต่พวกเขาเลือกที่จะขายในราคาขายส่งที่ 75 เหรียญสหรัฐ หรือกางเกงขาบานที่ราคา 380 เหรียญสหรัฐฯ ก็กำลังเขยิบราคามาเรื่อย ๆ จนตอนนี้อยู่ที่ 95.05 เหรียญสหรัฐแล้ว เป็นต้น
แน่นอนว่า วิธีของ Telfar ทำให้สินค้าของพวกเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และสินค้าบางอย่างก็หมดลงอย่างรวดเร็ว โดยที่ราคายังไม่ทันได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกจากสไตลิสต์ และนักการตลาดมากมาย เช่น Reci Rich สไตลิสต์คนดังจากแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ที่มองว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ฉลาดมาก เพราะมันดึงดูดลูกค้าเข้ามาที่ช่องทางขายของบริษัทได้อย่างรวดเร็ว แถมยังตัดสินใจซื้ออย่างด่วน ๆ ได้ด้วย
แน่นอนว่าการตั้งราคาของ Telfar ที่บอกว่าเริ่มต้นจากราคาขายส่งทำให้หลายคนมองเห็น “ส่วนต่าง” ของราคาขายส่งกับราคาขายปลีกในสินค้าแฟชั่นเข้าอย่างจัง ซึ่งน่าสนใจว่า การทำเช่นนี้ของ Telfar อาจเป็นความพยายามในการ “ตัด” พ่อค้าคนกลางออกไป และดึงให้ผู้บริโภคเข้าถึงเว็บไซต์ หรือช่องทางการจำหน่ายของพวกเขาโดยตรงแทนก็เป็นได้
ด้าน Telfar Clemens กล่าวทิ้งท้ายถึงเรื่องนี้ว่า บางที “คนเจ๋ง ๆ” ไม่จำเป็นต้องหมายถึงคนรวยเสมอไป และแบรนด์ของเขา ต้องการให้คนเจ๋ง ๆ เข้าถึงเสื้อผ้าได้มากกว่าเท่านั้นเอง