การแข่งขันในตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้งหลังการระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไป ส่งผลทำให้ผู้เล่นทั้งรายเก่าไปจนถึงรายใหม่ ที่เข้ามาชิงชัยในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น
บู๊ทส์ (Boots) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่
คุณอรพรรณ พงศ์พานิช Head of Customer Experience บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย กล่าวว่า
แม้ภาพรวมธุรกิจหลังโควิดจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี คนอยากกลับมาใช้ชีวิตมากขึ้น แต่โควิดกระทบกำลังซื้อ ทำให้คนคิดเยอะขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า และให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า คุ้มราคา และคุณภาพ” เป็นส่วนสำคัญ และมักจะตัดสินใจซื้อจากโปรโมชั่นมาเป็นลำดับแรก โดยโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ได้รับความนิยมมากสุด
ทั้งนี้จากผลการสำรวจโดย scbeic.com ระบุว่าในปี 2565 ที่ผ่านมา นักช้อปไทยชอบการซื้อสินค้าที่จัดโปรโมชั่น และยังทำการตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย ขณะเดียวกันยังพบว่า การสร้างประสบการณ์ที่ดีเป็นอีกปัจจัยสำคัญสำหรับนักช้อปไทย สอดคล้องกับผลสำรวจจาก zendesk.com ระบุว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา 75% ของนักช้อปจะยอมจ่ายเงินมากขึ้น ถ้าแบรนด์หรือร้านค้านั้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพวกเขาได้
เช่นเดียวกับผลสำรวจเทรนด์ความงามระดับโลกปี 2566 เผยว่าความงามและสุขภาพที่ดีในทุกช่วงอายุเป็นการช่วยยกระดับ ฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้นหลังจากวิกฤตโควิด-19 และยังพบว่าคนไทยมากกว่า 65% มีความใส่ใจกับการดูแลภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ
เทรนด์ดังกล่าวสอดคล้องการเติบโตของ “บู๊ทส์” หลังการจัดแคมเปญ “บู๊ทส์ มิกซ์แอนด์แมทช์ 1 แถม 1 คละได้” ที่จัดขึ้นครั้งแรกในเดือนธันวาคมปี 2564 ที่ผ่านมาและต่อเนื่องอีก 4 ครั้งในปี 2565 โดยที่เน้นเรื่องความคุ้มค่า กับสินค้าที่หลากหลายมาเป็นจุดแข็งในการดึงลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้า
ผลทำให้บู๊ทส์ สามารถสร้างยอดขายและทราฟฟิกได้แบบ Double Digit หรือคิดแบบคร่าวๆคือสามารถสร้างทราฟฟิกได้หลักแสนคนต่อเดือน จนผลักดันผลประกอบการในปี 2565 ที่ผ่านมา มียอดขายเติบโตได้ดีกว่าตลาดรวมสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม
โดยตัวเลขจาก Nielsen ระบุว่า ตลาดรีเทล มีมูลค่ากว่า 121,896 ล้านบาท เติบโต 10% โดยกลุ่มสินค้าหลักที่ผลักดันให้รีเทลเติบโตได้ดี เป็นผลมาจากการเติบโตของสินค้าในกลุ่ม สุขภาพและสกินแคร์ นั่นเองสะท้อนศักยภาพในการเติบโตของตลาดรีเทลสุขภาพและความงามในไทยว่ามีทิศทางที่ดีในปี 2566 โดย EIC มีการคาดการณ์ว่าตลาดรีเทลจะมีการเติบโต 9% และ 13% ในหมวดธุรกิจค้าปลีกสุขภาพ
แคมเปญซื้อ 1 แถม 1 เพิ่มแรงจูงใจในการซื้อ สร้างยอดขาย-ทราฟฟิกโต Double Digit
เมื่ออุตสาหกรรมมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันพฤติกรรมของลูกค้าก็มักจะตามหาสินค้าโปรโมชั่นมากขึ้น “บู๊ทส์” จึงเลือกปรับทิศทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าให้มากที่สุด ภายใต้กลยุทธ์ “บู๊ทส์ มิกซ์แอนด์แมทช์ 1 แถม 1 คละได้” (Boots Mix &Match) คละของที่ใช่ ช้อปยังไงก็คุ้ม ที่จะสานต่อแคมเปญอย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นซิกเนเจอร์แคมเปญประจำค่าย ที่จะมีการเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีครั้งแรกของบู๊ทส์ นับตั้งแต่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา
โดยจะมีการเพิ่มจุดเด่นของแคมเปญด้วยการ Offer ให้มากกว่าโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 แบบเดิมทั่วไป ผ่านคีย์ไฮไลท์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้า 2 ประการสำคัญ ได้แก่
- จำนวนครั้ง-ช่วงเวลา : เลือกจัดเฉลี่ยไตรมาสละ 1 ครั้ง หรือ 4 ครั้งต่อปี โดยจะเน้นจัดในช่วงปลายเดือน ไปถึงต้นเดือน เพราะได้มีการศึกษาแล้วว่าช่วงเวลาการจัดโปรโมชั่น เป็นไปตามจังหวะการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า
- เพิ่มความคุ้มค่า : บู๊ทส์ มองว่าลูกค้าซื้อสินค้าจากความจำเป็น การซื้อสินค้าแคตฯเดียวแบบเดียวนั้นไม่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า และไม่คุ้มกับโปร 1 แถม 1 ดังนั้นบู๊ทส์ จึงแก้ Pain Point ดังกล่าวด้วยการให้อิสระการเลือก สินค้า และแถมอีกชิ้นแบบข้ามหมวดหมู่ได้ ผ่านสินค้าที่ร่วมโปรโมชั่นกว่า 1,200 รายการ (จากสินค้าทั้งหมดกว่า 10,000 รายการ) ที่จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาจัดโปรโมชั่น ทำให้ลูกค้ามั่นใจการใช้เงินอย่างมีคุ้มค่าและมีเหตุผล การให้ลูกค้าสามารถ Mix & Match เองได้จึงเป็นการเพิ่มการตัดสินใจซื้อที่คุ้มค่าได้เป็นอย่างดี
“ปัจจุบันโปรโมชั่นช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น ขณะที่ความคุ้มค่าก็มาเป็นอันดับแรกๆในการตัดสินใจซื้อในยุคที่กำลังซื้อยังชะลอตัว นั่นเอง เราจึงเลือกแคมเปญดังกล่าวมาต่อยอดให้กับบู๊ทส์ โดยมองว่าการจัดโปรโมชั่นที่เพิ่มมากขึ้น ผ่านสินค้าที่ลูกค้าเลือกแมทซ์จับคู่เอง ซึ่งเป็นการเน้นเรื่องของความคุ้มค่าจากการซื้อ โดยไม่ใช่เรื่องสงครามราคาแต่อย่างใด”
เปิด 4 กลยุทธ์ มัดใจลูกค้า ที่ต้องปรับเปลี่ยนโมเดลตามพื้นที่
นอกจากเรื่องแคมเปญโปรโมชั่นที่จะเข้ามาเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างการเติบโตให้แก่ “บู๊ทส์” แล้วจากการที่ตลาดดรักสโตร์แข่งขันกันสูงขึ้น มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามากมาย ทั้ง ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ หรือแม้กระทั่งศูนย์การค้าที่ลงมาชิงตลาดนี่มากขึ้น การมีโปรโมชั่น อย่างเดียวจึงไม่เพียงพอต่อการต่อสู่ท่ามกลางสมรภูมิอันดุเดือด
ดังนั้น “บู๊ทส์” จึงต้องเดินหน้าแผนงานให้อย่างรอบด้าน เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด ทั้งการเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นการปรับคอนเซ็ปต์ สัดส่วนสินค้า ตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ผ่าน 4 กลยุทธ์ ที่เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าชาวไทย ได้แก่
1.Fully Integrated Omnichannel บู๊ทส์อยู่เคียงข้างคนไทย พร้อมมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ ไม่เพียงแต่ง่าย ถูกต้อง ตรงใจกับพื้นที่ภายในร้าน แต่รวมถึงการเข้าถึงช่องทางหลากหลายทั้งออฟไลน์-ออนไลน์
2.Customer Driven Store Format ด้วยการจัดทำร้านค้าแบบใหม่ แบ่งเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ เน้นสินค้าสุขภาพ เน้นสินค้าความงาม และ ผสมผสานระหว่างสินค้าสุขภาพและความงาม นอกจากนี้ ยังคัดสรรสินค้าจากอินไซต์ลูกค้า ให้มีสินค้าสุขภาพและความงามตรงใจลูกค้าแต่ละพื้นที่
3.Product Innovation นำเสนอนวัตกรรมสินค้าคุณภาพภายใต้แบรนด์บู๊ทส์ ผ่านมุมสินค้าแบบ Excusive ในร้าน เพื่อสร้างแบรนด์แบบปากต่อปาก (Word of Mouth) ในราคาจับต้องได้ และสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟนำเข้าจากอังกฤษ ได้แก่ No7 / Soap & Glory/ Ted Baker มีสินค้าสุขภาพและความงามที่หลากหลาย ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เกือบทุกเดือน
4. Upgrade Boots mix & match ตอบอินไซต์นักช้อปไทย ด้วยการส่งโปรโมชั่นเด็ดพิเศษเฉพาะที่ร้านบู๊ทส์ พร้อมนำเสนอสื่อสร้างสรรค์ใหม่ๆ ทั้งหน้าร้านและสื่อ 360 องศาอย่างจัดเต็มต่อเนื่องตลอดทั้งปี
การปรับกลยุทธ์ที่หลากหลายของ “บู๊ทส์” ในครั้งนี้ จึงเพื่อรองรับเทรนด์สุขภาพและความงามยุค After Covid ที่ผู้บริโภคชื่นชอบการมีความสวยควบคู่ไปกับสุขภาพที่ดี บุคคลต้องการภาพลักษณ์ที่ดีทั้งในการใช้วิตประจำวัน และโลกโซเซี่ยลมีเดีย ทำให้สกินแคร์ กลายมาเป็นกลุ่มสินค้าที่ขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมสุขภาพความงาม โดยที่ Top 3 กลุ่มสินค้าขายดีที่สุด ประกอบด้วย 1. กลุ่มวิตามินอาหารเสริม 2.สกินแคร์ที่เติบโตทั้งเวชสำอาง และไม่ใช่เวชสำอาง และ 3. ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ