Salesforce ประเทศไทย เปิดตัว Permanent Office อย่างเป็นทางการ เน้นคอนเซ็ปต์รักษ์โลกโดยเฉพาะพรมที่รีไซเคิลจาก “แห” แบบเดียวกับออฟฟิศในสิงคโปร์ ด้านผู้บริหารชี้โอกาสรอบใหม่ หลังพบความต้องการของภาคธุรกิจที่ต้องการลงทุนเพิ่มใน Digital Transformation เล็งเปิดตัว EinsteinGPT แชทบอทตัวแรกของโลก CRM ช่วยงานฝ่าย Customer Service
ออฟฟิศคอนเซ็ปต์เดียวกับสิงคโปร์
สำหรับการมีตัวตนของ Salesforce ประเทศไทยนั้น พบว่า เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2021 ก่อนจะขยับขยายและตั้งเป็น Permanent Office อย่างเป็นทางการในปี 2023 โดยปัจจุบัน บริษัทเผยว่ามีพนักงานเพิ่มขึ้น 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2021 เลยทีเดียว
คุณอามิท ซักซีน่า รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของ Salesforce เผยว่า ออฟฟิศแห่งใหม่นี้ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกับออฟฟิศในสิงคโปร์ ที่มาพร้อมโต๊ะทำงานที่ปรับระดับขึ้นลงได้ (เป็นฮอตซีท ไม่มีการครอบครองโต๊ะทำงาน สามารถเลือกที่นั่งได้) จอมอนิเตอร์ดีไซน์โค้ง ห้องแพนทรีสำหรับให้บริการอาหาร – ขนมสำหรับพนักงาน รวมถึงการตกแต่งที่มาพร้อมแนวคิดรักษ์โลก เช่น การใช้ “พรม” ที่รีไซเคิลจากแหตกปลา
ส่วนรูปแบบการทำงาน ผู้บริหาร Salesforce เผยว่า เป็นการทำงานแบบไฮบริด นั่นคือขึ้นอยู่กับงานว่าต้องเข้าออฟฟิศหรือไม่ พนักงานสามารถตัดสินใจได้เอง ทั้งนี้ ในช่วงที่เกิดการระบาดของ Covid-19 Salesforce เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ประกาศนโยบาย Remote Work ก่อนจะมีการปรับเปลี่ยนในภายหลัง
เพิ่มพนักงาน 5 เท่า รับ Digital Transformation รอบใหม่
สิ่งที่ทำให้ Salesforce มองเห็นโอกาสในตลาดไทยและเปิดตัว Permanent Office อย่างเป็นทางการ (ถือเป็นสำนักงานแห่งที่สองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์) ก็คือโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ Digital Transformation อิงจากตัวเลขคาดการณ์ของ AlphaBeta และ Google ที่ระบุว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยอาจจะเติบโตขึ้นแตะระดับ 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2025 หรืออีกสองปีนับจากนี้ ซึ่งสะท้อนว่า จะมีบริษัทในไทยอีกเป็นจำนวนมากต้องปรับตัวและลงทุนในเทคโนโลยีในช่วงนี้ เพื่อให้สามารถรอดพ้นยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านได้
อีกทั้งยังมีการอ้างอิงถึงการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคของ Salesforce เองที่พบว่า 87% ของผู้บริโภคไทยยอมรับว่า ประสบการณ์ในการติดต่อกับแบรนด์นั้นสำคัญพอ ๆ กับสินค้าที่จะซื้อจากแบรนด์เลยทีเดียว ซึ่งสอดคล้องกับโปรดักท์ที่ Salesforce มีอย่างระบบ CRM ที่บริษัทมองว่าสามารถสร้างประสบการณ์ในเชิงบวกให้กับลูกค้าได้
โชว์ความสำเร็จ Lotus’s พัฒนา Loyalty Program ใน 14 เดือน
หนึ่งในเคสที่ Salesforce ประเทศไทย นำมาโชว์คือความสำเร็จของห้างโลตัส (Lotus’s) หลังถูกควบรวมกิจการโดยซีพี กรุ๊ปในปี 2020 โดยความต้องการของโลตัสในขณะนั้นคือการดึงข้อมูลทุกอย่างมารวมไว้ในแพลตฟอร์มเดียว (เช่น ข้อมูลลูกค้าจากช่องทางต่าง ๆ ข้อมูลสต็อกสินค้า ฯลฯ) เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ และต้องเป็นแพลตฟอร์มที่มีความเสถียร รวมถึงต้องสามารถ Implement ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าประทับใจได้ ซึ่งในเบื้องหลังเป็นการทำงานร่วมกันของ Salesforce และ Accenture และทำให้โลตัสสามารถเปิดตัวลอยัลตี้โปรแกรม และการขายในช่องทางอีคอมเมิร์ซได้ภายในระยะเวลา 1 เดือนหลังติดตั้ง และมีสถิติความถูกต้องของสต๊อกสินค้าสูงถึง 98%
ข้อมูลในเว็บไซต์ของ Salesforce ยังระบุด้วยว่า
- ระบบของ Salesforce ช่วยให้โลตัสสามารถเชื่อมต่อข้อมูลจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เข้ากับ Loyalty Program และทำให้โลตัสสามารถจัดโปรโมชันที่เข้ากับความต้องการ หรือพฤติกรรมการซื้อในอดีตของลูกค้าได้
- ระบบของ Salesforce ช่วยให้โลตัสสามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้แบบเรียลไทม์ และลดปัญหาที่ลูกค้าจะสั่งสินค้าแล้วไม่มีสินค้าในสต๊อกได้ (ในอนาคต โลตัสสามารถเปิด API ให้ซัพพลายเออร์และพาร์ทเนอร์เข้ามาเช็คสินค้าคงคลังได้ด้วย)
- โลตัสในไทยและมาเลเซียสามารถเปิดตัวโซลูชันด้านอีคอมเมิร์ซได้ภายใน 14 เดือนหลังพัฒนา และสามารถเปิดตัวระบบออนไลน์ในสาขาที่มีมากกว่า 1,000 สาขาภายใน 6 เดือน
เปิดตัว EinsteinGPT แชทบ็อทตัวแรกของโลก CRM
นอกจากนี้ บริษัทได้โชว์ความสามารถของ EinsteinGPT ซึ่งเป็น Generative AI ตัวแรกสำหรับการใช้งานในวงการ CRM ด้วย โดยจากในภาพด้านล่าง คือความสามารถของ EinsteinGPT ในการช่วยฝ่าย Customer Service ตอบคำถามลูกค้าเรื่องเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาว ที่ AI สามารถวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าและแนะนำได้ว่า การเดินทางไปยังจุดหมาย X ของลูกค้านั้น เสื้อกันหนาวรุ่นที่ต้องการอาจไม่สามารถทนทานได้ ควรซื้อเสื้อกันหนาวรุ่นอื่นเพิ่ม ฯลฯ เป็นต้น
สำหรับการใช้งาน EinsteinGPT ในประเทศไทยนั้น คุณรบส สุวรรณมาศ หัวหน้าฝ่ายโซลูชั่น เซลส์ฟอร์ซ ประเทศไทย ระบุว่าอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยคาดว่าจะมีความคืบหน้าอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้