บมจ.บีอีซี เวิลด์ หรือ BEC เจ้าของสถานทีโทรทัศน์ ช่อง 3 แม้ฟื้นตัวจากธุรกิจทีวีดิจิทัล กลับมาทำกำไรต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2563 ถึงไตรมาสนี้
แต่โดยรวมผลประกอบการกลุ่มบีอีซี ไตรมาส 1 ปี 2566 ทั้งรายได้และกำไร “ลดลง” สรุปได้ดังนี้
– รายได้จากการดำเนินงานรวม 996 ล้านบาท ลดลง 19.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แบ่งได้ดังนี้
1. รายได้จากการขายเวลาโฆษณา (ช่อง 3) จำนวน 907.3 ล้านบาท ลดลง 17.2% เนื่องจากนาทีขายโฆษณามีจำนวนลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงทั่วโลก รวมทั้งสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนและการใช้จ่ายของภาคเอกชนและภาคครัวเรือน ทำให้หลายธุรกิจชะลอการใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อ รวมทั้งสื่อทีวี ในการสื่อสารทำแคมเปญทางการตลาดและรอดูสถานการณ์
2. รายได้จากการให้ลิขสิทธิ์และบริการอื่น จำนวน 88.6 ล้านบาท ลดลง 38.8% โดยรายได้จากธุรกิจขายลิขสิทธิ์ละครไปต่างประเทศ (Global Content Licensing) จำนวน 26.4 ล้านบาท ลดลง 51.4% (เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน) เนื่องจากมีการเลื่อนละครที่ขายลิขสิทธิ์ไปต่างประเทศ ไปเริ่มในปลายไตรมาส 1 ต่อไตรมาส 2 ปี 2566 ซึ่งจะรับรู้รายได้ในไตรมาสถัดไป
โดยในไตรมาส 1 ปี 2566 มีการจําหน่ายลิขสิทธิ์ละครไปยังต่างประเทศในแบบ Simulcast 3 เรื่อง ในหลายประเทศ ได้แก่ 1. ที่สุดของหัวใจ (You Touched My Heart) ผ่านแพลตฟอร์ม VIU อินโดนีเซีย 2. สะใภ้สายสตรอง (Devil in Law) ผ่านแพลตฟอร์ม VIU มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และ 3. หมอหลวง (Royal Doctor) ผ่านแพลตฟอร์ม Netflix และ VIU ของประเทศไทย, ลาว, กัมพูชา, พม่า, เวียดนาม, สิงคโปร์ , มาเลเซีย ทั้งนี้ รายได้ของหมอหลวงส่วนใหญ่จะเข้าในไตรมาส 2
3. รายได้จากดิจิทัลแพลตฟอร์ม จำนวน 54.7 ล้านบาท ลดลง 37.4% (เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน) เนื่องละคร First-Run ลดลงในไตรมาสแรก
– ต้นทุนขายของกลุ่มบีอีซี ไตรมาสแรกปี 2566 จำนวน 811.3 ล้านบาท ลดลง 7.3% (เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน) ส่วนใหญ่ลดลงจากค่าตัดจ่ายละครและซีรีส์ ตามการปรับผังรายการออกอากาศลดชั่วโมงละครหลังข่าวเหลือ 1.30 ชั่วโมง (ปีก่อน 2 ชั่วโมง)
– สรุปไตรมาส 1 ปี 2566 กลุ่มบีอีซี มีกำไรสุทธิ 3.7 ล้านบาท ลดลง 97.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 173.8 ล้านบาท
– รายได้การขายเวลาโฆษณาธุรกิจทีวี ช่อง 3 ลดลง สอดคล้องกับภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาสื่อทีวี ลดลง 10.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่สื่อทีวี ยังคงเป็นสื่อโฆษณาหลักและมีส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมโฆษณามากที่สุดราว 51.3% หรือมีมูลค่า 13,477 ล้านบาท
– โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุด 3 อันดับแรกในไตรมาส 1 ปี 2566 ได้แก่ 1. กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม มูลค่า 3,693 ล้านบาท ลดลง 17% 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวและเครื่องสำอาง มูลค่า 3,523 ล้านบาท ลดลง 5% และ 3. กลุ่มร้านค้าปลีกและร้านอาหาร มูลค่า 2,810 ล้านบาท ลดลง 1%