โมเดล K-POP ที่ประสบความสำเร็จในตลาดโลก หากย้อนเส้นทางเริ่มต้นเฟสแรกคือ การเจาะตลาดท้องถิ่น (Local Music) เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ที่เริ่มเดบิวต์วงบอยแบนด์-เกิร์ลกรุ๊ป ในช่วงปี 1996 จากนั้นเข้าสู่เฟส 2 ส่งออกวัฒนธรรมเกาหลี หรือ Soft Power ไปต่างประเทศ
ปัจจุบันอยู่ในเฟส 3 กับการก้าวสู่การเป็น Global Music ผู้คนทั่วโลกพร้อมเสพคอนเทนต์ผลงานเพลงใหม่จากโซเชียลมีเดียแตะหลัก 100 ล้านคนได้ภายใน 24 ชั่วโมง
กระแส K-POP ที่มีฐานแฟนคลับอยู่ทั่วโลก และเส้นทางความสำเร็จของ Thai Talent “ลิซ่า Blackpink” ในระดับโลก
นั่นทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) มองโอกาสสร้างเวทีให้ “เด็กไทย” ที่มีความสามารถได้ก้าวสู่ตลาดโลก ด้วยการร่วมทุนกับ The Black Label ค่ายเพลงและครีเอทีฟเอเจนซีจากเกาหลีใต้ ที่ก่อตั้งโดย Teddy Park ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวงการ K-POP มากว่า 10 ปี ทำงานร่วมกับศิลปินระดับโลกอย่าง BLACKPINK, BIGBANG, 2NE1, JEON SOMI และ TAEYANG
โดย CP ได้ลงทุน 100 ล้านบาท ร่วมทุนกับ The Black Label จัดตั้งค่ายเพลง The Black Sea ถือหุ้นสัดส่วนเท่ากัน 50:50 วางเป้าหมายสร้างครีเอทีฟคอมมูนิตี้ชั้นนำระดับโลก ปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมบันเทิงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งออก Soft Power เจาะตลาดโลก
เป้าหมายไทยศูนย์กลางส่งออก Soft Power
คุณพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา Chief Content Strategy, Investment and Partnership Officer เครือซีพี กล่าวว่าเบื้องหลังการร่วมทุนจัดตั้งค่ายเพลง The Black Sea ใช้เวลาเกือบ 2 ปี
เพราะความสำเร็จของ Teddy Park ที่สร้างสรรค์ผลงานให้กับศิลปินดังค่าย YG และความสำเร็จของค่ายเพลง The Black Label ที่เพิ่งก่อตั้งได้ 5-6 ปี ทำให้เขาเนื้อหอม มีนักลงทุน กองทุน บริษัทขนาดใหญ่หลายอุตสาหกรรม รวมทั้งค่ายเพลง ต่างสนใจร่วมทุนกับ Teddy Park
แต่ปัจจัยที่ทำให้ Teddy Park ซึ่งไม่เคยร่วมทุนกับบริษัทไหนมาก่อน เลือก CP เป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในขณะนี้ เพราะ CP บอกถึงเป้าหมายที่ต้องการพัฒนาความสามารถเด็กไทย และ Soft Power ของภูมิภาคอาเซียนไปสู่ระดับโลก เป็นสิ่งที่ตรงกับความตั้งใจของค่ายเพลง The Black Label ที่กำลังทำอยู่ และ CP มี Ecosystem ที่พร้อมสนับสนุนทุกช่องทาง ทำให้แตกต่างจากตัวเลือกอื่นๆ
ความสามารถของเด็กไทยที่ทำให้ Teddy Park เห็นมาแล้วว่าไปสู่ระดับโลกได้ คือ “ลิซ่า Blackpink” ที่ประสบความสำเร็จจากความมุ่งมั่นทำตามความฝันของตัวเอง
ดังนั้นภายใต้ความร่วมมือของค่ายเพลง The Black Sea จึงต้องการสร้าง “สะพาน” ให้เด็กไทยและอาเซียนได้ไปสานฝันในระดับโลกเช่นเดียวกับ “ลิซ่า Blackpink” และเห็นโอกาสในการผสมผสานเมโลดี้ไทยกับฝั่งตะวันตก ให้ออกมาเป็น Sound ใหม่ ใช้มาตรฐาน K-POP ต่อยอด T-POP ไปสู่ Global Music
“เครือซีพี และ Teddy Park มีความฝันว่าการผนึกกำลังกัน จะพัฒนาศิลปินไทยไปสู่ตลาดโลก ส่งออกวัฒนธรรมจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก จากเดิมที่ภูมิภาคนี้ต้องอิมพอร์ตมาตลอด และไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ ที่จะสร้าง Soft Power ส่งออกได้ในตลาดโลก”
ถอดรหัส K-POP สู่ Global Music
อุตสาหกรรม K-POP ที่เริ่มจาก Local Music เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน สู่การส่งออกวัฒนธรรมเกาหลี หรือ Soft Power ไปต่างประเทศ จนกลายเป็น International Music ที่ผู้คนทั่วโลกพร้อมเสพ
ปัจจุบันได้ก้าวสู่การเป็น Global Music ที่ถือเป็นความท้าทายอีกขั้น เพราะต้องอยู่ในเวทีเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน K-POP หรือศิลปินระดับโลกจากฝั่งตะวันตก
หากดูความสำเร็จของ K-POP ผ่านผลงานสร้างสรรค์ของ Teddy Park ซึ่งเป็นคนสัญชาติอเมริกัน-เอเชีย เข้าใจวัฒนธรรมทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก จึงมีเมโลดี้ที่แตกต่างจากเพลง K-POP ในยุคแรก และเป็นผลงาน ระดับ Global Music จากการเป็น Global Citizen ที่เข้าถึงคนได้ทั่วโลก
เมื่อถอดรหัสความสำเร็จ K-POP ยุค Teddy Park ในการทำงานให้กับศิลปินระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น BLACKPINK, BIGBANG, 2NE1, JEON SOMI และ TAEYANG จะมาจาก 3 เรื่องหลัก
1. การหาทาเลนต์ จากที่ไหนก็ได้ทั่วโลก หาคนที่มีตัวตนที่แท้จริง มีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง แม้จะเป็นเกาหลี แต่จะผสมผสานวัฒนธรรมอื่นๆ เข้ามาด้วย เห็นได้จาก BLACKPINK ที่มาจาก เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และไทย
2. การคัดเลือกทาเลนต์ให้ลงตัว วางคาแรกเตอร์ “ไอดอล” ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ตอบโจทย์แต่ละคอมมูนิตี้ เพื่อสร้างฐานแฟนคลับให้ใหญ่ที่สุด
3. พัฒนาทาเลนต์ ฝึกฝนให้ครบสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน ด้วยมาตรฐานระดับโลก เจียระไนให้มีความพร้อมมากที่สุดก่อนเปิดตัว เห็นได้ว่าเด็กฝึกหัด (Trainee) ของค่ายเพลงเกาหลีใต้ใช้เวลาหลายปีก่อนเดบิวต์
ความสำเร็จระดับโลกของกระแสวัฒนธรรมเกาหลีใต้ K-POP หรือ Hallyu สะท้อนได้จากตัวเลขในอุตสาหกรรมบันเทิง ปี 2562 มูลค่าตลาดราว 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 59,000 ล้านบาท) ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา K-POP ในตลาดโลกที่เติบโต 2.5 เท่า โดยประเทศไทยเป็นอันดับ 5 ที่เสพสื่อ K-POP มากที่สุดในโลก
ฐานแฟนของ K-POP ในตลาดโลก ทำให้การเปิดตัวอัลบั้มเพลงใหม่ของศิลปินดัง มีแฟนคลับจากทั่วโลกรอเสพคอนเทนต์มากกว่าแฟนคลับในเกาหลีใต้
ในยุคนี้การสร้างศิลปิน K-POP จึงไม่ต้องเริ่มจากเกาหลีใต้ เพื่อรอให้ดังแล้วไปตลาดโลก ปัจจุบันโลกโซเชียลมีเดียสามารถเริ่มต้นไปสู่ตลาดโลกได้ทันที เห็นได้ศิลปินเปิดตัวเพลงใหม่ ยูทูบทำยอดวิวได้หลัก 100 ล้านวิวในวันแรก เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเป็นการเสพคอนเทนต์จากทั่วโลกพร้อมกัน
นี่คือวิสัยทัศน์ของ The Black Sea ที่ต้องการสร้าง Soft Power ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องเริ่มด้วยอุตสาหกรรมเพลง ที่สามารถสร้างผลงานและเผยแพร่ใน 24 ชั่วโมง เข้าถึงคนได้ 100 ล้านคน
The Black Sea วางตำแหน่งเป็น Global Company จึงไม่ได้มีเป้าหมายจะปั้นศิลปินไทยหรือเกาหลี เพราะวิชั่นของ Teddy Park และ The Black Lable ต้องการสร้างศิลปินระดับโลก และที่ผ่านมาได้พิสูจน์ฝีมือมาแล้วว่าทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้จริง เห็นได้ว่าเพลงของค่าย The Black Lable อยู่ในตลาดอินเตอร์เนชั่นแนลทั้งหมด ไม่ใช่เพลงที่ดังเฉพาะในประเทศเกาหลีใต้ แต่เป็นเพลงที่ดังในหลายประเทศทั่วโลก
เปิดออดิชันแรกแห่สมัคร 2,000 คน
The Black Sea ได้จัดกิจกรรมแรก เปิดออดิชันหาทาเลนต์เด็กไทยและทุกสัญชาติ ที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป ในโครงการ The Black Box Pop-up Studio ที่สยามเซ็นเตอร์ เป็นการออดิชันแบบออนไลน์และออฟไลน์ครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีผู้สมัครออดิชัน 2,000 คน จากหลายสัญชาติ เช่น ไทย อินเดีย ฝรั่งเศส เวียดนาม เมียนมา มีทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและสมัครจากต่างประเทศ
แดนนี ชัง นักแต่งเพลงค่าย The Black Label
โปรเจกต์ออดิชันแรกในประเทศไทย ได้ “แดนนี ชัง” นักแต่งเพลงค่าย The Black Label และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาศิลปินของ The Black Sea ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพลงดัง How You Like That, Kill This Love ของวง Black Pink ถือเป็นมือขวาของ Teddy Park มาเป็นคนดูแลโปรเจกต์ในประเทศไทย
หลังจากคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถแล้ว ก็ถูกส่งไปเป็นเด็กฝึกหัด (Trainee) ในประเทศเกาหลีใต้ เพื่อฝึกฝนความสามารถตามมาตรฐานของค่าย The Black Label เพื่อพัฒนาให้ก้าวสู่ศิลปินระดับโลกต่อไป
นอกจากการคัดเลือกบุคคลไปเป็นเด็กฝึกหัดแล้ว The Black Sea จะจัดกิจกรรมอื่นๆ จากความร่วมมือของศิลปินค่าย The Black Label ในประเทศไทยด้วย โดยจะเริ่มเห็นในไตรมาส 4 ปีนี้
จากการร่วมมือของเครือซีพี และ The Black Label ในการสร้าง Thailand Soft Power ที่เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกและพัฒนาไอดอลที่มีศักยภาพ เป็นสะพานสนับสนุนให้ไปสู่ระดับโลก เพื่อทำให้ความสำเร็จของ Thailand Soft Power ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากกระบวนการที่ให้เกิดขึ้นจริงและส่งเสริมอย่างสม่ำเสมอ
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ยังมีความสำเร็จไม่มากพอ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงถูกมองว่าเป็นเรื่องบังเอิญ The Black Sea จะต้องทำหน้าที่สร้างความสำเร็จของทาเลนต์ไทยให้มากขึ้น เพื่อก้าวสู่เส้นทาง Global Music ที่ไม่ไกลเกินไป
“เป้าหมายของเราไม่ได้มีจุดเริ่มต้นว่าต้องสร้างศิลปินให้ดัง รวย มีธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นปลายทาง จากการสร้างศิลปินที่ประสบความสำเร็จ”