ในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวน “ทองคำ” คือหนึ่งในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและเหมาะแก่การลงทุน ล่าสุดเครือสหพัฒน์ ขอร่วมวงทำธุรกิจร้านทอง ด้วยการเปิด “ห้างทองกลมเกลียว” ขึ้นเป็นเป็นครั้งแรก ชูจุดเด่นร้านทองเพื่อชุมชนกับ โมเดล “ออมทอง” เริ่ม 100 บาท/ครั้ง สำหรับคนที่มีรายได้น้อย
สำหรับ “ห้างทองกลมเกลียว” เกิดจากฝีมือการปั้นของ “ฐิติภูมิ โชควัฒนา” ทายาทประธานเครือสหพัฒน์ “บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” กับอีกหนึ่งธุรกิจใหม่ที่เกิดจากความสนใจ และประสบการณ์การวางแผนภาษีให้แก่ร้านทองทั่วประเทศ จนนำมาต่อยอดเป็นหนึ่งธุรกิจใหม่ในเครือ
คุณฐิติภูมิ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีเค ไพรเมรี่ จำกัด กล่าวว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ประเภทสินทรัพย์ปลอดภัย คนส่วนใหญ่จึงนิยมซื้อเพื่อเก็บออมหรือลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจสูง เช่น เงินเฟ้อ เงินฝืด หรือเกิดวิกฤตต่าง ๆ ส่งผลให้ธุรกิจร้านทองมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีความสนใจในธุรกิจร้านทองเป็นทุนเดิม และมีประสบการณ์จากการเปิดบริษัทรับทำบัญชีและวางแผนภาษีให้กับร้านทองทั่วประเทศจึงเปิดห้างทองขึ้นมา
โดยที่มาของชื่อห้างทองกลมเกลียว ส่วนหนึ่งมาจากคำว่าเครือสหพัฒน์ ซึ่ง “สห” หมายถึงการร่วมกันที่ต้องมีความกลมเกลียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ “ตระกูลโชควัฒนา” ยึดมั่น อีกส่วนหนึ่งมาจากความต้องการให้ทีมงานของห้างทองมีความสามัคคีกัน อีกทั้งยังต้องการให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนบ้านที่มีความกลมเกลียวกัน มีความใส่ใจที่จะมอบสินค้าและบริการที่ดีให้กับชุมชนรอบข้าง
คุณฐิติภูมิ โชควัฒนา
ห้างทองกลมเกลียว อยู่ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท ทีเค ไพรเมรี่ จำกัด โดยเปิด สาขาแรกที่ซอยสาธุประดิษฐ์ 58 หน้าฐานทัพใหญ่เครือสหพัฒน์ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ให้บริการซื้อ ขาย แลก เปลี่ยน ทองรูปพรรณ และทองคำแท่ง รวมถึงขายฝาก เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ผู้ที่อาศัยอยู่ในซอยสาธุประดิษฐ์ 58 และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งส่วนใหญ่รู้จักชื่อเสียงของเครือสหพัฒน์อยู่แล้ว
ความพิเศษคือ การเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยเป็นเจ้าของทองง่ายขึ้นด้วยบริการออมทองเพียง 100 บาทต่อครั้ง ขั้นต่ำเดือนละครั้ง โดยจะให้ลูกค้าสะสมเงินจนครบตามราคาทองที่ลูกค้าต้องการ เมื่อครบแล้วสามารถแจ้งให้แปลงมูลค่าเงินเป็นน้ำหนักทอง ณ วันที่ตัดออม และรับทองได้ทันที
หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากสาขาแรก ทำให้ทางสหพัฒน์วางแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขา ประกอบด้วย 1 สาขาในปี 2566 และเปิดอีก 2 สาขาในปี 2567 โดยจะยึดทำเลย่านสาธุประดิษฐ์ – พระราม 3 เป็นหลัก
ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เป็นเครื่องมือให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น โดยลูกค้าที่ออมทองสามารถดูประวัติการออม และจำนวนเงินที่สะสมได้ และเฟสต่อไปจะพัฒนาแอปให้ลูกค้าสามารถแปลงเงินออมเป็นน้ำหนักทองได้ด้วยตนเอง รวมทั้งซื้อ ขาย หรือจองทอง ผ่านแอปได้ด้วย โดยจะเปิดใช้งานปลายเดือนมิถุนายนนี้