ไม่เพียงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวหลังโควิด แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยวหลักก็คึกคักไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ “ภูเก็ต” สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย จัดเป็น World Destinations ที่ชาวต่างชาติรู้จัก อยากมาท่องเที่ยว และใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณ
ปัจจุบันภูเก็ตฟื้นตัวหลังโควิดชัดเจน เห็นได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 749,154 คน ทำรายได้ 29,186 ล้านบาท (เทียบเดือนมีนาคม 2565 มีจำนวน 102,040 คน ทำรายได้ 5,908 ล้านบาท) นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนภูเก็ต อันดับ 1 คือ รัสเซีย ตามด้วย อินเดีย คาซัคสถาน อังกฤษ ออสเตรเลีย จีน เยอรมนี
โอกาสอสังหาฯภูเก็ตเจาะต่างชาติกำลังซื้อสูง
หากดูโอกาสการพัฒนาอสังหาฯ ในภูเก็ต นอกจากการทำบ้านและคอนโดมิเนียมสำหรับการอยู่อาศัยแล้ว ยังมีตลาดลูกค้าต่างชาติกลุ่มกำลังซื้อสูง ที่ซื้อเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศ ทั้งกลุ่มลักชัวรี่ วิลล่าและคอนโด เพื่อพักผ่อน (Leisure Condo) ที่อยู่ใกล้ทะเล โดยมีทั้งกลุ่มที่มาใช้ชีวิตหลังเกษียณและมาพักผ่อนประจำปี
จากจุดเด่นของภูเก็ต คือ มีชายหาดสวยงามทั้งเกาะ มีสิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) ต่างๆ รองรับการใช้ชีวิต ทั้งเชนโรงแรมระดับโลก ท่าเรือซูเปอร์ยอชต์ มีธีมปาร์ค 5 แห่ง โรงเรียนอินเตอร์ 10 แห่ง สนามกอล์ฟ 9 สนาม
“แอสเซทไวส์” บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ทั้งคอนโดแบรนด์หลัก MODIZ (โมดิซ), ATMOZ (แอทโมซ) และ KAVE (เคฟ) และโครงการแนวราบ ทำเลหลักกรุงเทพฯ มองโอกาสเข้ามาเจาะตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ด้วยการเข้าซื้อกิจการ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยสัดส่วน 57.79% จากผู้ถือหุ้นเดิมในราคาหุ้นละ 2.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 1,042 ล้านบาท พร้อมทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TITLE (Tender Offer) ในวันที่ 25 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2566 ในราคาหุ้นละ 2.50 บาท รวมมูลค่า 760 ล้านบาท
คุณกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW กล่าวว่าดีลซื้อกิจการ TITLE ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ในภูเก็ต มากว่า 30 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2559 ซึ่งผู้ก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่ คุณเด่นดนัย หุตะจูฑะ ต้องการเกษียณและวางมือจากธุรกิจ แอสเซทไวส์จึงเข้ามาซื้อหุ้นในส่วนนี้ทั้งหมด และเป็นจังหวะที่ดีของการขยายอสังหาฯ ในเมืองท่องเที่ยวหลังฟื้นตัวจากโควิด
“การซื้อกิจการ TITLE เป็นทางลัดเข้าสู่อสังหาฯ ตลาดพรีเมียมในภูเก็ต เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติกำลังซื้อสูง สามารถทำราคาขายได้สูงกว่าซิตี้คอนโด ในกรุงเทพฯ ขณะที่ราคาที่ดินต่ำกว่า”
หากดูตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดในกลุ่มต่างชาติ ทำเลภูเก็ตมาเป็นอันดับ 3 โดยรูปแบบการซื้อมีทั้ง Leasehold ระยะเวลา 60-90 ปี (ตามกฎหมาย) เป็นเรื่องที่นานาชาติเข้าใจอยู่แล้ว และกลุ่ม Freehold (ต่างชาติมีครอบครัวในประเทศไทย หรือซื้อโดยนิติบุคคล)
ทำไมเลือกซื้อกิจการ TITLE
ปัจจัยหลักที่ แอสเซทไวส์ ซื้อกิจการ TITLE มาจากจุดเด่นเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ทำตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต มีทีมขายชาวต่างชาติรัสเซียและจีน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเครือข่ายเอเยนต์ อสังหาฯ กว่า 100 บริษัท เพราะพฤติกรรมการซื้ออสังหาฯ ของต่างชาติจะซื้อผ่านเอเยนต์เป็นหลัก นอกจากนี้ยังบริหารงานนิติบุคคลอาคารชุดเอง ทำให้ลูกค้าต่างชาติมั่นใจซื้อโครงการ
โครงการของ TITLE ในภูเก็ตเป็นคอนโดทั้งหมด ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีในภูเก็ต คือ หาดในยาง (ใกล้สนามบิน) หาดราไวย์ และหาดบางเทา รวม 7 โครงการ ขายหมดแล้ว 6 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The Title Residences หาดในยาง 2 โครงการ, The Title Rawai 2 โครงการ, The Title V ราไวย์-ภูเก็ต 1 โครงการ และ The Title HALA 1 หาดในยาง ขายแล้ว 80%
พัฒนาโครงการคอนโดมาแล้วจำนวน 1,549 ยูนิต รวมมูลค่า 5,928 ล้านบาท มีลูกค้าต่างชาติ 99% เจาะกลุ่มพรีเมียมแมส ราคา 4-10 ล้านบาทต่อยูนิต
ปัจจุบัน TITLE มีแลนด์แบงก์ในภูเก็ต ทั้งหาดในยาง หาดราไวย์ หาดบางเทา รวม 80 ไร่ พร้อมพัฒนาคอนโดต่อเนื่องอีก 9 โครงการ รวมมูลค่า 14,000 ล้านบาท ในระยะ 3 ปีจากนี้
– หาดในยาง 34 ไร่ ทำคอนโด HALO 4 ตึก และ TITLE X 1 ตึก รวมมูลค่า 4,600 ล้านบาท
– หาดบางเทา 40 ไร่ ทำคอนโด MORI 3 ตึก รวมมูลค่า 8,550 ล้านบาท
– หาดราไวย์ 5 ไร่ ทำคอนโด TITLE 1 ตึก รวมมูลค่า 900 ล้านบาท
มูลค่าที่ดินที่ TITLE ถืออยู่ 80 ไร่ ในทั้ง 3 ทำเลไพรม์ ในยาง, ราไวย์, บางเทา หากเฉลี่ยราคาที่ดินไร่ละ 30 ล้านบาท (ไม่ติดหาดแต่ใกล้หาด หากติดหาดไร่ละ 70-100 ล้านบาท) รวมมูลค่าอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท สามารถพัฒนา Leisure Condo เพื่อขายในราคาตารางเมตรละ 100,000 บาทขึ้นไป หรือเริ่มต้นยูนิตละ 4 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาขายที่ดีกว่าที่ดินในกรุงเทพฯ บางทำเล เช่น รัชดาฯ 32 ราคาที่ดินไร่ละ 60-70 ล้านบาท แต่ราคาซิตี้คอนโดเริ่มต้นที่ 2.4 ล้านบาท
ลูกค้าหลักของ TITLE เป็นชาวต่างชาติ เช่น รัสเซีย ยุโรป จีน มีทั้งกลุ่มทำงาน ซื้อเป็นคอนโดพักตากอากาศ ใช้ชีวิตหลังเกษียณ โดยซื้อในรูปแบบ Leasehold ระยะเวลา 60 ปี กรณีซื้อ Freehold เพิ่มเงินอีก 300,000 บาท
หลังจากซื้อกิจการ วางเป้าหมายรายได้ของ TITLE ในช่วง 3 ปีแรก (ปี 2567-2569) อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ภาพรวมรายได้แอสเซทไวส์ เติบโตเฉลี่ยปีละ 20% จากศักยภาพที่ดินของ TITLE มีโอกาสต่อยอดขยายไปกลุ่ม Hospitality เพื่อสร้างรายได้ประจำในอนาคต
รวมทั้งการร่วมมือกับ TITLE ในการนำแบรนด์ KAVE ของแอสเซทไวส์ มาพัฒนาเป็นแคมปัส คอนโด เจาะตลาดคอนโดใกล้มหาวิทยาลัยในภาคใต้ อีกตลาดที่มีกำลังซื้อ
ร่วมทุน BOTANICA เจาะตลาดลักชัวรี่วิลล่า
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา แอสเซทไวส์ ได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตกว่า 20 ปี พัฒนาไปแล้วกว่า 15 โครงการ
โดยแอสเซทไวส์ เข้าร่วมทุนสัดส่วน 30% เพื่อพัฒนาโครงการ BOTANICA Grand Avenue ลักชัวรี่พลูวิลล่า ในทำเลใจกลางย่าน Exclusive Residence บนหาดบางเทา ภูเก็ต (ติดลากูน่า กอล์ฟ) บนพื้นที่กว่า 178 ไร่ เพื่อพัฒนาบ้านลักชัวรี่กว่า 200 ยูนิต มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส ขนาดที่ดินตั้งแต่กว่า 100 ตารางวา – 1 ไร่ ราคาตั้งแต่ 70-100 กว่าล้านบาท เตรียมเปิดขายในปลายปี 2566
“ภูเก็ต” เป็นจุดหมายท่องเที่ยวระดับโลกที่ผู้คนอยากมาเยือน ธุรกิจอสังหาฯ จึงมีโอกาสเจาะลูกค้าต่างชาติทั่วโลก ที่ต้องการมาทำงาน พักตากอากาศ และใช้ชีวิตหลังเกษียณ จึงมีดีมานด์ทั้งตลาดคอนโดและลักชัวรี่วิลล่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ แอสเซทไวส์ มีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากการเข้าไป ซื้อกิจการ TITLE และร่วมทุน BOTANICA
อ่านเพิ่มเติม