เอพี ไทยแลนด์ และ มิตซูบิชิ เอสเตท ผนึกกำลังตอกย้ำความสำเร็จจากมิตรภาพที่ยั่งยืนและแข็งแกร่ง ของ 2 บริษัทชั้นนำผู้พัฒนาอสังหาฯ ในประเทศไทย และบริษัทพัฒนาอสังหาฯ เบอร์ต้นๆ ที่มากด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยาวนานกว่า 130 ปีจากประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าความร่วมมือในโอกาสครบรอบ 10 ปี ประกาศแผนโรดแมป “FROM STRENGTH TO STRENGTH” ขับเคลื่อนการร่วมทุนที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น สู่การเติบโตที่ไม่สิ้นสุด ด้วยเม็ดเงินลงทุนผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนที่มากถึง 12,619,408,010 บาท ขยายการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเต็มสูบ รับการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าใจกลางเมืองที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง พร้อมผลักดันภารกิจเชื่อมต่อความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ มุ่งยกระดับคุณภาพการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง – บน ในไทยให้เข้าถึงชีวิตดีๆ ที่ทุกคนสามารถเลือกเองได้
10 ปี แห่งความไว้วางใจและเคารพ
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 10 ปี ความสำเร็จการร่วมมือทางธุรกิจ ระหว่างมิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจนยังถือเป็น Milestone สำคัญที่สะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตร ต่อการทำงานของเอพี ไทยแลนด์ ความแข็งแกร่งทั้งนัยความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทย ที่เทียบเคียงนานาประเทศ
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายแรกและรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด” สัดส่วนถือหุ้น 51:49 เพื่อทำหน้าที่เป็นบริษัทหลักในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะยาว ด้วยทุนจดทะเบียนมูลค่า ณ ปัจจุบันที่ 12,619,408,010 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสิบเก้าล้าน สี่แสนแปดพันสิบบาท)
“Key Success ของการร่วมมือ 10 ปีนี้ Trust และ Respect คือหัวใจสำคัญของ Joint Venture จะทำอะไรก็ต้องตรงไปตรงมา เค้าอยากดูอะไรเราก็เปิดให้ดูหมด ไม่งั้นจะล่มสลาย….หากเรามี 2 สิ่งนี้ ก็จะพาร์ทเนอร์กับใครก็ได้บนโลกนี้ ”
“มิตซูบิชิ เอสเตท มีความพิเศษไม่เพียงแต่ในแง่ของขนาดบริษัท และประสบการณ์ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังมีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล ที่พร้อมสนับสนุนความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยไปด้วยกัน อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการให้แรงบันดาลใจกับทีมเอพี ไทยแลนด์ สู่การสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อยกระดับให้สินค้าและบริการตอบโจทย์ชีวิตดีๆ ที่ลูกค้าเลือกเองได้” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม
นายอะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ เอสเตทเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จากการพัฒนาอสังหาฯ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ถึงวันนี้มิตซูบิชิ เอสเตทมีธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในหลายประเทศและหลายภูมิภาค ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกาและเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเอเชีย ซึ่งประเทศไทยนับเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีตลาดอสังหาฯ เติบโตอย่างมีศักยภาพ และเอื้ออำนวยต่อการลงทุนทำธุรกิจ รวมถึงการได้ร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมอย่างเอพี ไทยแลนด์
ตลอดระยะเวลา 10 ปีความร่วมมือทางธุรกิจกับเอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตทได้พัฒนาความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรและปรัชญาองค์กรซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้มิตซูบิชิ เอสเตทสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจผ่านมุมมองระยะยาว ซึ่งคงไม่สามารถเป็นไปได้ หากความร่วมมือของทั้งสองบริษัทเป็นความร่วมมือระยะสั้นจบเป็นรายโครงการ
ทั้งนี้ ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำงานร่วมกับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจน “ความเชื่อมั่น” ที่มิตซูบิชิ เอสเตทมีต่อเอพี ไทยแลนด์ ทั้งองค์ความรู้ที่ลึกซึ้งถึงแก่นในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ความใส่ใจในทุกกระบวนการทำงาน การวางแผนงานต่างๆ ของเอพี การได้ทำงานกับเอพี ไทยแลนด์ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน ทำให้มิตซูบิชิ เอสเตทได้เรียนรู้เป็นอย่างมาก
เปิดตัว 2 โครงการ MASTERPIECE
ครบรอบหนึ่งทศวรรษความร่วมมือ เอพี ไทยแลนด์ – มิตซูบิชิ เอสเตท ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุน เจาะที่ดินแนวรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 24 โปรเจกต์ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท ทุกโครงการมีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทั้งมิติด้านการขายและโอนกรรมสิทธิ์ โดยสร้างผลงานปิดการขาย (Sold Out) ไปแล้วทั้งสิ้น 13 โครงการ คงเหลือโปรเจกต์ร่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเปิดขาย 11 โครงการ (มูลค่ารวม 55,650 ล้านบาท) มียอดขายเฉลี่ยทุกโครงการรวมกันประมาณ 60% หรือคิดเป็นมูลค่าสินค้าพร้อมขายที่ 20,375 ล้านบาท
ขณะที่ นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังนี้ เอพี ไทยแลนด์ – มิตซูบิชิ เอสเตท พร้อมส่ง 2 โครงการ MASTERPIECE บิ๊กโปรเจกต์ร่วมทุนที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งปี ใน 2 ที่ดินแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงเทพฯ โดยมีไฮไลต์แรก เตรียมเปิดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ พร้อมเข้าอยู่ใหม่ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท โครงการระดับเพรสทีจ-ลักซ์ ที่สุดของความละเมียดละไมอันทรงคุณค่า และความพิถีพิถันเพียงหนึ่งเดียว บนที่สุดของทำเลที่ดินผืนงามใจกลางมหานคร (150 เมตรจาก BTS ราชเทวี) พร้อมเผยโฉมความสวยงามสะดุดทุกมุมมองเป็นครั้งแรก ห้องชุด 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร PANORAMIC CITY VIEW ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท เตรียมเปิดโอนในวันที่ 26 – 27 สิงหาคมนี้
“อีกหนึ่งไฮไลต์คือการเปิดแฟล็กชิปโครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุด RHYTHM เจริญนคร ไอคอนิค บนที่ดินขนาด 4 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท ริมถนนเจริญนคร ตรงข้ามไอคอนสยาม เพียง 100 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีทอง ‘เจริญนคร’ เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ชูความพิเศษต้นแบบการพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้แนวคิด SUPER CONDOMINIUM ที่รวมความเป็นที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว ผ่าน 3 มิติหลัก ได้แก่ (1) SUPER DESIGN ที่สุดของเอกลักษณ์การออกแบบให้เกิดความลงตัวครบในทุกมิติ ทั้ง SUPER SPACE UTILIZATION และ SUPER TIMELESS DESIGN ELEMENTS โดดเด่นทุกองค์ประกอบ (2) SUPER RADIUS บนทำเลที่ตั้งโครงการสุดไพร์ม ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อม GLOBAL DESTINATION เชื่อมต่อประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก ในรัศมีเพียง 100 เมตร และ (3) SUPER BLUE CHIP ที่สุดของคุณค่าและมูลค่าเพิ่ม สะท้อนผ่านแบรนด์และการพัฒนาโครงการให้เป็นแลนด์มาร์กคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ที่ดีที่สุด เป็นต้น เตรียมเปิดขายในเดือนพฤศจิกายนนี้” นางสาวกมลทิพย์ กล่าวสรุปท้าย
เศรษฐกิจไทยในกำมือการเมือง
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทย ยังคงเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากทั้งสภาพเศรษฐกิจทั่วโลก และปัจจัยสำคัญ คือ “การเมืองภายในประเทศ” ซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และ การขับเคลื่อนสิ่งต่างๆในประเทศ
ในสถานการณ์เช่นนี้ สำหรับตลาดคอนโดมิเนียม ยังมีโอกาสจากไม่ว่าจะเป็นจำนวน Supply โครงการใหม่ๆยังไม่สูงมากนักเนื่องจากข้อจำกัดด้านเงินกู้ ประกอบกับการ Supply เก่าที่ทะยอยหายไป ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่ยังมีศักยภาพและเงินทุน
เครื่องจักรในการขับเคลื่อนประเทศหลักๆ ทั้งการท่องเที่ยว(คนจีน) และ ส่งออก มีสัญญานไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นการลงทุนของภาครัฐจึงเป็นอีกเครื่องจักรสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อได้(บ้าง)
“ผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะรัฐบาลไหนก็ไม่มีเงินเหลือเฟือขนาดนั้น อยากให้รัฐบาลใหม่ดูว่าตรงไหนเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ดีที่สุดแล้วช่วยใส่เงินตรงนั้น…. อสังหาฯจะดีได้เศรษฐกิจต้องดี ไม่จำเป็นต้องมาช่วยพวกเรา เพราะพวกเราก็เอาตัวรอดกันเองทุกที”
นายอนุพงษ์ ปิดท้ายว่า
“ผมไม่สนใจเลยว่าใครจะมารัน….แต่ขอให้เค้าสามารถรันประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพใส่เงินและมีนโยบายอย่างถูกที่ถูกทางมันถึงเวลาที่จะต้องทำงบประมาณประเทศปีหน้าตั้งแต่วันนี้แล้วเพื่อไปผ่านเดินตุลาคม … ถ้าเราไม่มีอะไรแบบนี้ ผมว่าเหนื่อยนะ มึนมาก”