ในแวดวงธุรกิจชื่อเสียงของ “คุณมานิต อุดมคุณธรรม” เป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งขายกิจการให้กลุ่มเซ็นทรัล) เป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า PJ Jeans ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหาร “โฮมโปร”
ปี 2560 คุณมานิตและครอบครัว กลับมาลงทุนใหญ่อีกครั้ง ด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชื่อ Swan Lake เขาใหญ่ พื้นที่ 200 ไร่ ภายใต้บริษัท อีลิเชี่ยน ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด จุดขายของโปรเจกต์นี้มีการปลูกต้นไม้เพิ่มในพื้นที่กว่า 40,000 ต้น เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียว จากนั้นเริ่มพัฒนาโครงการสวอนเลค เรสซิเด้นซ์ เขาใหญ่ คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 282 ยูนิต มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท
โครงการต่อมาได้ร่วมมือกับ “อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป” หรือ IHG ให้เข้ามาบริหารโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เขาใหญ่ สวอนเลค รีสอร์ท เนื้อที่ 36 ไร่ ต่อจากโครงการสวอนเลค เรสซิเด้นซ์ เขาใหญ่ ด้วยงบลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท
ปี 2566 ในวัย 78 ปี คุณมานิต ลงทุนธุรกิจใหม่อีกครั้ง คราวนี้ลงสนามธุรกิจอุปโภคบริโภค (FMCG) กับการเปิดตัวน้ำแร่พรีเมียมแบรนด์ไทย “6ty Degrees” (ซิกตี้ ดีกรี) ที่มีต้นกำเนิดจากแหล่งน้ำพุร้อนใต้ดินบนพื้นที่เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
โดยมีคุณรีน่า อุดมคุณธรรม (ลูกสาวคนโต) นักธุรกิจหญิงผู้สร้างแบรนด์แฟชั่น FQ&L ตอนอายุ 25 ปี มีประสบการณ์พัฒนาศูนย์การค้าจังซีลอน ตอนอายุ 30 ปี และทำโปรเจกต์สวอนเลคในวัย 40 ปี ล่าสุดมานำทัพสู้ศึกตลาดน้ำแร่มูลค่า 4,000 ล้านบาท
พลิกอสังหาฯ สู่ตลาดน้ำแร่
ที่มาของการเข้าสู่ธุรกิจ FMCG ซึ่งนับเป็นเซกเตอร์ที่ 4 ต่อจากค้าปลีก คอนโด และโรงแรม คุณรีน่า อุดมคุณธรรม ผู้ก่อตั้งบริษัท แร่เบฟเวอเรจ จำกัด เล่าว่าเดิมคุณพ่อ (คุณมานิต) และครอบครัว เตรียมขยายโครงการอสังหาฯ สวอนเลค มาที่ภาคเหนือ จึงมาหาซื้อที่ดิน ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลของไทย
โดยซื้อที่ดินเชียงดาวเนื้อที่ 300 ไร่ ซึ่งพบว่ามีแหล่งน้ำพุร้อนใต้ดิน จึงวางแผนพัฒนาเป็นโรงแรม 5 ดาว พร้อมให้บริการออนเซ็นจากแหล่งน้ำพุร้อน โดยส่งน้ำใต้ดินในพื้นที่ไปตรวจที่สถาบันรับรองคุณภาพน้ำในต่างประเทศ 3 สถาบัน คือ ALS ประเทศสวิตเซอร์แลนด์, SGS ประเทศออสเตรเลีย และ Intertek ประเทศอังกฤษ
ผลตรวจรับรองคุณภาพน้ำจากทั้ง 3 สถาบัน ระบุว่าเป็นแหล่งน้ำแร่บริสุทธิ์ มีแร่ธาตุ 16 ชนิดที่ดีต่อการดูแลสุขภาพ เช่นเดียวกับแบรนด์น้ำแร่ดังในต่างประเทศ ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญที่ครอบครัวตัดสินใจนำที่ดินเชียงดาว เฟสแรก 18 ไร่ มาสร้างเป็นโรงงานผลิตน้ำแร่ธรรมชาติ แบรนด์ “6ty Degrees” ภายใต้บริษัท แร่เบฟเวอเรจ จำกัด (Rare Beverage)
“เดิมเราไม่ได้คิดว่าจะทำน้ำแร่ขวด เพราะเป็นตลาดที่แข่งขันสูง มีหลายแบรนด์ใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่คุณพ่อ (คุณมานิต) สนใจเรื่องการดูแลสุขภาพ จึงต้องการให้คนไทยได้ดื่มน้ำแร่ธรรมชาติ 100% จากแหล่งต้นกำเนิดในเชียงดาว จึงเป็นที่มาของการเข้าสู่ตลาดนี้”
ลงทุนโรงงาน 1,000 ล้าน ปั้นแบรนด์ 6ty Degrees
ปัจจุบันตลาดน้ำแร่ มี 2 ประเภท คือ 1.น้ำแร่ธรรมชาติ 100% (ไม่เติมแร่ธาตุ) และ 2. น้ำแร่ที่ใส่แร่ธาตุเพิ่ม
แบรนด์ 6ty Degrees วางจุดขายเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ จากแหล่งผลิตในอำเภอเชียงดาว ซึ่งมีน้ำแร่ธรรมชาติที่มาจากน้ำพุร้อนใต้ดินที่ความลึกกว่า 200 เมตร ในระดับชั้นหินอายุมากกว่า 350 ล้านปี ที่อุณหภูมิ 60 องศา นั่นจึงเป็นที่มาของแบรนด์ 6ty Degrees
จุดเด่นที่แตกต่างคือมาจากแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติที่สำรวจและได้รับการรับรองคุณภาพน้ำว่าอุดมไปด้วยแร่ธาตุ 16 ชนิด โดยเฉพาะ 6 ชนิดที่มีปริมาณมาก ได้แก่ ซิลิกา โพแทสเซียม อัลคาไลน์ แมกนีเซียม แคลเซียม ไบคาบอร์เน็ต อีกทั้งการันตีด้วยรางวัล Superior Taste Award 2023 จากสถาบันรับรองด้านรสชาติและคุณภาพอาหารนานาชาติ ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำของโลกเรื่องการทดสอบเครื่องดื่มและอาหารจากประเทศเบลเยี่ยม
โดยลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเฟสแรก บนพื้นที่ 18 ไร่ ที่อำเภอเชียงดาว ด้วยงบลงทุน 1,000 ล้านบาท ตัวอาคารโรงงานออกแบบสไตล์ยูโรเปียน ติดตั้งกระจกใสแสดงกระบวนการผลิต เพื่อให้เห็นว่าผลิตน้ำแร่จากแหล่งน้ำธรรมชาติ
เครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตจากประเทศเยอรมนี เป็นโรงงานระบบปิด ตั้งแต่ต้นน้ำ สูบน้ำแร่จากน้ำพุร้อนใต้ดิน ผ่านกระบวนการกลั่นกรองจนถึงการบรรจุขวดในห้องสุญญากาศปลอดเชื้อ ทำให้น้ำแร่รักษาความบริสุทธิ์ของแร่ธาตุ โรงงานสามารถบรรจุน้ำได้ 850,000 ขวดต่อวัน แต่มีเจ้าหน้าที่ควบคุมการผลิตเพียง 5 คน เนื่องจากกระบวนการในโรงงานเป็นระบบ Fully Automation และใช้หุ่นยนต์ในการจัดเก็บสินค้าเข้าคลังสินค้า
ฝาขวดแบบใหม่ไม่หลุดหาย
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ของ 6ty Degrees ไม่ว่าจะเป็น ฝา ขวด ฉลาก ถูกดีไซน์ใหม่ โดยเฉพาะ “ฝาขวด”แบบใหม่ ตัวห่วงกับฝาเป็นชิ้นเดียวกัน เปิดฝาแล้วไม่หลุดหาย ถือเป็นแบรนด์แรกในประเทศไทยที่เป็น Single Waste ฝาและขวดยึดติดเป็นชิ้นเดียวกัน สะดวกต่อการแยกขยะ ตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลก
น้ำแร่ 6ty Degrees มี 2 ขนาด ได้แก่ 520 มล. ราคา 12 บาท และ ขนาด 1,250 มล. ราคา 20 บาท วางจำหน่ายแล้วที่ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ เปิดตัวทำตลาดตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2566 ใช้งบประมาณ กว่า 100 ล้านบาท ในการเปิดตัวสินค้าเพื่อทำการสื่อสารสร้างแบรนด์และการจดจำกับกลุ่มเป้าหมายหลักคนรุ่นใหม่
นอกจากนี้จะมีการลงทุนในเฟสต่อไปอีกหลายร้อยล้านบาท เพื่อผลิตน้ำแร่ในรูปแบบขวดแก้วและสปาร์กกลิ้ง โดยจะทำตลาดช่วงปลายปี 2566 และขยายช่องทางสู่ตลาด HoReCa (ขายในโรงแรม ร้านอาหาร) ในกลุ่มพรีเมียมด้วย
ปัจจุบันตลาดน้ำแร่มีมูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 8-10% หลังเปิดตัวทำตลาดแบรนด์ 6ty Degrees ตั้งเป้าหมายปีแรกมีส่วนแบ่งตลาด 20% และภายใน 3 ปี ต้องการก้าวสู่ผู้นำท็อป 3 คาดว่าธุรกิจน้ำแร่จะคืนทุนได้ใน 5 ปี โดยมองโอกาสทำตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหมวดอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
ปัจจุบันมีบริษัทต่างประเทศติดต่อมาเพื่อจะนำน้ำแร่ 6ty Degrees ไปจำหน่ายแล้ว ได้แก่ สิงคโปร์ ซาอุดิอาระเบีย จีน และอินเดีย อีกไม่นานน่าจะได้เห็น 6ty Degrees วางจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นสินค้าสัญชาติไทยอีกหนึ่งแบรนด์ที่จะไปสู่ตลาดโลก
สำหรับที่ดินในอำเภอเชียงดาว ที่มีกว่า 300 ไร่ นอกจากทำโรงงานผลิตน้ำแร่แล้ว วางแผนพัฒนาโครงการต่อเนื่องในกลุ่ม Wellness และที่อยู่อาศัย เพิ่มเติมอีกในอนาคต