ชีวิตคนเราทุกวันนี้ล้วนต้องเจอสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ และความไม่แน่นอนตลอดเวลา ทำให้หลายคนไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่คิดไว้กับคนที่รักมากมาย เพราะมัวแต่ “รอ” ให้ถึงโอกาสพิเศษอย่างวันแม่ วันปีใหม่ ดังนั้น จะดีกว่าไหมหากเราจะดูแลกันหรือทำทุกวันให้คนที่เรารักโดยไม่ต้องรอ นั่นจึงเป็นที่มาของหนังโฆษณาตัวใหม่ “Live Life to The Fullest” จาก “บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)” ที่หยิบเรื่องราวความสัมพันธ์ของแม่ลูกมาสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเห็นถึงแก่นของความรักและคุณค่าของการให้เวลากับคนที่รักกันมากขึ้น
แนวคิดของหนังโฆษณาเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร Brand Buffet พามาพูดคุยถึงไอเดีย และเบื้องหลังการทำงานกับ “คุณไชย ไชยวรรณ” กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ “คุณเด่นชัย คีรีรักษ์” Executive Creative Director บริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่หลอมรวมกันจนกลายเป็นหนังโฆษณาอีกเรื่องที่จะทำให้คนดูอินไปกับสตอรี่ที่แตะหัวใจจนต้องปาดน้ำตากันอีกครั้ง
จากผ้าพันคอ สู่หนังโฆษณาที่กระตุ้นให้คนเห็นคุณค่าของเวลา
พูดถึง “ไทยประกันชีวิต” นอกจากหลายคนจะนึกถึงบริษัทประกันชีวิตชั้นนำของคนไทยแล้ว เชื่อว่าหนังโฆษณาเรียกน้ำตา (Sadvertising) เป็นอีกสิ่งที่ผู้บริโภคต้องนึกถึงเช่นกัน เพราะแทบทุกเรื่องที่ปล่อยออกมาล้วนสะเทือนอารมณ์ และทัชใจคนดูจนต้องปาดน้ำตา แถมยังแฝงแง่คิดให้คนดูได้ฉุกคิดเสมอ ซึ่งคุณไชย บอกว่า หนังโฆษณาช่วงแรกจะเน้นถ่ายทอดอยู่บนแกนของความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ภายใต้แนวคิด “ชีวิตคนไทย ต้องคนไทยดูแล” เพราะต้องการสร้างความเชื่อใจในแบรนด์ไทยประกันชีวิต เนื่องจากในยุคนั้นต้องแข่งขันกับบริษัทต่างชาติ
กระทั่งต่อมาพบว่า นอกจากความไว้วางใจแล้ว ผู้บริโภคยังตัดสินใจซื้อประกันชีวิตจากการเห็นคุณค่าของความรัก ไม่ว่าจะเป็นการรักตัวเองหรือรักครอบครัว รวมทั้งเติมเรื่องคุณค่าความเป็นมนุษย์เข้าไปด้วย เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งสากลที่อยู่คู่กับมนุษย์ทุกคน จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด “ให้รักดูแลชีวิต” โดยเลือกใช้ คุณค่าของความรัก (Value of Love) คุณค่าของชีวิต (Value of Life) และ คุณค่าของมนุษย์ (Value of People) มาเป็นแก่นในการสื่อสารมาจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงหนังโฆษณาชิ้นล่าสุด “Live Life to The Fullest”
โดยคุณไชย บอกว่า ไอเดียตั้งต้นของหนังโฆษณาเรื่องนี้ มาจากการที่เขาได้เห็นบทความภาษาอังกฤษเรื่องหนึ่งพูดถึงผ้าพันคอของแม่ที่ลูกซื้อให้ แต่แม่กลับไม่เคยหยิบมาใช้สักครั้ง จนวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะต้องการเก็บไว้ใช้ในโอกาสพิเศษ จึงคิดว่าน่าจะต่อยอดเป็นไอเดียสื่อสารได้ เพื่อกระตุ้นให้คนเห็นคุณค่าของการให้เวลากับคนที่รัก จึงหยิบเรื่องราวนี้ไปให้ทางครีเอทีฟดูและคิดต่อ
“เราอยากให้ทุกคนรู้สึกอยากกลับไปหาแม่ หรือคนในครอบครัว พร้อมแสดงความรักต่อกัน ดูแลกันและกันให้มากที่สุด เพื่อทำชีวิตทุกวันให้มีคุณค่า มีความหมาย และถ้าอยากทำอะไรให้คนที่เรารัก ให้ทำเลย ไม่ต้องรอโอกาส เพราะทุกๆ วันคือวันพิเศษ (Every day is a Special Day)” คุณไชย บอกถึงเป้าหมายที่ต้องการสื่อสารไปยังคนดู
สื่อสารให้เห็นถึงคุณค่าของเวลา ทุกวันคือ วันพิเศษ
คุณเด่นชัย บอกว่า โจทย์ของไทยประกันชีวิตในปีนี้ค่อนข้างชัดเจน โดย Key Message สำคัญคือ ต้องการสื่อสารให้คนเห็นคุณค่าของเวลา เพราะทุกวันคือ วันพิเศษ ทุกคนสามารถบอกรักหรือดูแลกันได้ทุกวันโดยไม่ต้องรอโอกาส หรือรอให้ถึงวันพิเศษ เพราะทุกวันที่ตื่นขึ้นมาและยังมีลมหายใจ นั่นคือวันพิเศษที่สุดแล้ว บวกกับความตั้งใจของไทยประกันชีวิตที่อยากสื่อสารเรื่องราวผ่านความรักของครอบครัว โดยเฉพาะแม่และลูก
ดังนั้น จากโจทย์ที่แบรนด์ให้มา ตัวหนังจึงหยิบยกเรื่องราวความผูกพันระหว่างแม่ลูกมาเป็นแก่นในการเล่าเรื่อง โดยมี “หมาน้อย” เป็นตัวแทนของลูกสาววัยทำงาน ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อทำตามความฝัน เพราะอยากให้แม่มีความสุขและสบายในอนาคต เหมือนกับลูกๆ หลายคนในปัจจุบัน จนวันหนึ่งพบว่าแม่ป่วย ทำให้หมาน้อยเสียใจ เพราะไม่รู้ว่าจะเหลือเวลาอยู่กับแม่อีกนานแค่ไหน หมาน้อยจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ ดูแลแม่ในทุกๆ วันให้ดีที่สุด เพื่อให้แม่มีความสุข
แม้โจทย์ของไทยประกันชีวิตจะชัดเจน ทว่าเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องนี้กลับไม่ง่ายเลย คุณเด่นชัย บอกว่า กระบวนการที่ยากสุดคือ การแคสติ้งนักแสดง โดยเฉพาะตัวละครที่มารับบทลูกสาว หรือ “หมาน้อย” ทีมแคสติ้งต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเจอนักแสดงคนนี้ แต่ทุกครั้งที่เข้าฉาก เมื่อต้องร้องไห้ น้องทำได้มหัศจรรย์มาก บางฉากทำเอาคนในกองต้องแอบไปหลบร้องไห้ รวมถึงความทุ่มเทของนักแสดงในบทบาทแม่ที่ยอมโกนผมจริงในการถ่ายทำ
พฤติกรรมเสพสื่อเปลี่ยน แต่ “คุณค่า-แรงบันดาล” คือ เสน่ห์มัดใจคนดู
ที่ผ่านมา หลายคนอาจมองว่าหนังโฆษณาของไทยประกันชีวิตจะเป็นแนว Sadvertising จนกลายเป็นต้นแบบและภาพจำของคนส่วนใหญ่ แต่คุณเด่นชัย มองว่า เสน่ห์ของหนังโฆษณาไทยประกันชีวิตอยู่ที่ “คุณค่า” ในการสื่อสารให้สังคมได้ตระหนักคิด รวมถึงวิธีการเล่าเรื่องและการถ่ายทำที่สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู เช่นเดียวกับหนังโฆษณาเรื่องนี้ที่จะทำให้คนดูอิ่มเอมและซาบซื้งไปกับเรื่องราวความรักของแม่ลูกตลอด 3 นาที และเมื่อดูจบ คนจะเห็นคุณค่าของวันนี้ และให้เวลากับคนที่รักเรามากขึ้น
สอดคล้องกับคุณไชย ที่มองว่า โฆษณาของไทยประกันชีวิตเป็นมากกว่าหนังโฆษณาเรียกน้ำตา เพราะภายใต้เรื่องราวทั้งหมด ต้องการจุดประกายให้คนตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต คุณค่าของความรัก และคุณค่าของมนุษย์ ผ่านการสร้างแรงบันดาล เพื่อให้คนฉุกคิดและหันมาส่งมอบคุณค่าให้กับคนอื่นๆ จึงทำให้คนดูเกิดความประทับใจและจดจำในแบรนด์ สะท้อนได้จาก Feedback ของผู้ชมทั้งชาวไทยและทั่วโลกที่ต่างพูดถึงในวงกว้าง รวมไปถึงฟิลิป คอตเลอร์ ปรมาจารย์ด้านการตลาด ยังยกเคสหนังโฆษณาของไทยประกันชีวิตให้เป็น Original Sadvertising
“Content ที่ให้แรงบันดาลใจ แง่คิด ยังเป็น Content ที่ไม่เคยล้าสมัยและสามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนให้ตรงกับบริบทของคนในยุคปัจจุบัน และเลือกแพลตฟอร์มที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย” คุณไชย ย้ำถึงเหตุผลที่ทำให้แบรนด์ยังเลือกสื่อสารเนื้อหาในรูปแบบหนังโฆษณา แม้คนสมัยนี้จะดูโฆษณาน้อยลงก็ตาม
Live Life to The Fullest จึงนับเป็นอีกหนังโฆษณาดีๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนได้ฉุกคิด และกลับมาใช้เวลากับคนที่เรารักในทุกวันให้มากที่สุด โดยไม่ต้องรอ สำหรับใครอยากรู้ว่าทุกวันคือ วันพิเศษอย่างไร มาร่วมสัมผัสคุณค่าของเวลากับหนังเรื่องนี้ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=73ColQ-bnv4