“ยัสปาล กรุ๊ป” (JPC) บริษัทแฟชั่นไลฟ์สไตล์สัญชาติไทยเบอร์ 1 ที่เริ่มต้นจากธุรกิจ “เครื่องนอน” นำเข้าจากอินเดีย เปิดให้บริการแห่งแรกที่ “พาหุรัด” ก่อตั้งโดย โดย “ยัสปาล ซิงค์” ชาวอินเดีย กว่า 76 ปีที่ผ่านมา JASPAL ดำเนินงานจากรุ่นสู่รุ่นจนมาถีงการบริหารงานของเจนเนอเรชั่นที่ 4 ก้าวสู่ธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย มีสาขากว่า 970 แห่งทั่วโลก มีสินค้าในเครือ 25 แบรนด์ ทั้งนำเข้าและพัฒนาขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องนอน ฯลฯ จนกลายเป็นอาณาจักรแฟชั่นหมื่นล้านในที่สุด
เส้นทางการเติบโตของ JASPAL เริ่มต้นในปี 2490 ก่อตั้งธุรกิจเครื่องนอน ก่อนที่ในปี 2515 ดำเนินธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์ ยัสปาลเอ็มโพเรี่ยม ตามด้วยในปี 2523 เปิดตัว CPS CHAPS ปี 2528 ก่อตั้ง บ.ยัสปาล แอนด์ ซัน จำกัด และ 2530 ก่อตั้ง บริษัท ยัสปาล กรุ๊ป และในปี 2543 ยัสปาลก็ขยายอาณาจักรตัวเองให้ใหญ่ขึ้นโดยเปิดแบรนด์ใหม่ๆ ได้แก่ LYN (2544) CC DOUBLE O (2548) Jelly Bunny, lyn around, MISTY MYNX, RIR, QUINN (2553-2558)
โดยในปี 2551 ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ล่าสุดในปี 2023 JASPAL แปรสภาพบริษัท จากบริษัทจำกัด เป็นบริษัทมหาชนจำกัด และได้ยื่นแบบคำขอและ Filling ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเตรียมเปิดขาย IPO ภายในปีนี้ให้ได้
การกรุยทางเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ ยัสปาล กรุ๊ป ครั้งนี้ มีคีย์ซัคเซสสำคัญที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ ด้วย ประสบการณ์ที่นานกว่า 70 ปี เข้าใจอุตสาหกรรม High Value Fashion การมีแบรนด์สินค้าและช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย มีทีมออกแบบที่สร้างสรรค์เข้าใจในเทรนด์และกระแสแฟชั่น นอกจากนี้ยังมีแบรนด์สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าและลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ทำให้มีจุดแข็งในเรื่อง Relationship จึงมีความได้เปรียบเรื่องทำเลที่ดีในที่ตั้งของสาขาแต่ละแห่งที่อยู่ในทำเลที่ดี
โดยปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ เป็นบริษัทสัญชาติไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าเฉพาะอย่างของประเทศไทย (อ้างอิงจาก Euromonitor International) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในช่วงปี 2563 ที่ 8.4% ปี 2564 ที่ 10% และปี 2565 ที่ 10.5% ตามลำดับ
คุณจรัญ สิงห์สัจจเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “JPC”) ในฐานะทายาทเจน 3 กล่าวว่า การที่เราให้ความสำคัญกับลุกค้า โดยเฉพาะการทำงานกับลูกค้าในช่องทางรีเทล ผ่านเรื่องคุณภาพดีไซน์ที่มีมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ จากนี้เราต้องมีการสร้างวิชั่นที่จะไปเติบโตในต่างประเทศ เน้นเรื่องคุณ การสร้างแบรนด์ ก็ยังคงต้องทำต่อไป นั่นคือหัวใจสำคัญที่ได้รับการถ่ายทอดมา
เปิดจุดแข็ง “ยัสปาล กรุ๊ป” อาณาจักรที่มีมากกว่าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์
เมื่อโฟกัสไปที่ 2 อุตสาหกรรมหลักที่ JASPAL ทำตลาดอยู่อย่างหมวดเสื้อผ้ารองเท้า พบว่า ปัจจุบันตลาดรวมเสื้อผ้ารองเท้าปี 2565 อยู่ที่ 302,751 ล้านบาท เติบโต 5.8% จากปีที่ผ่านมา โดยแนวโน้มตลาดในปี 2566-2570 ยอดขายของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้ามีแนวโน้ม 420,423 ล้านบาท การเติบโตเฉลี่ย 6.8% ต่อปี
ขณะที่มูลค่าอุตสาหกรรมที่นอน เครื่องนอน และผ้าปูที่นอน (อีกหนึ่งธุรกิจที่ทำตลาดอยู่) ในปี 2565 มีมูลค่าอยู่ที่ 5,310 ล้านบาท เติบโตสะสมตลอช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2560-2565) เฉลี่ย 2.8% โดยแนวโน้มในปี 2566-2570 คาดการณ์ว่าตลอดจะมีมูลค่าอยู่ที่ 5,863 ล้านบาท เฉลี่ย 4.3% ต่อปีตลอดช่วง 5 ปีนับจากนี้
โดยภาพรวมทั้ง 2 อุตสาหกรรมมีการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยจุดแข็งของแบรนด์ที่หลาดหลายและการเข้าใจ ทำให้สามารถดีไซน์สินค้าที่ตอบโจทย์ได้ ทำให้ Jaspal ยังคงสามารถสร้างการเติบโตและหลายเป็นบริษัทที่มีการเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับแผนขยายธุรกิจ JASPAL จากนี้ คือการขยายสาขาและจุดจำหน่าย การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายต่างๆ ตามการเปลี่ยนแปลงและเทรนด์อุตสาหกรรม และการขยายเข้าสู่ประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาเซี่ยน เพื่อก้าวสู่การการเป็นผู้นำด้านธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ นำเสนอแบรนด์ใหม่ๆ ตลอดเวลา การขยายสาขา จุดจำหน่ายสินค้าอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาช่องทางออนไลน์ ขยายเข้าสู่ธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวเนื่อง เช่น CPS Coffee การเปิด LYN Beauty และกำลังศึกษาธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเป็น New S-curve ให้กับบริษัท ไปจนถึงการส่งเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรให้แข็งแกร่งรองรับการแข่งขัน
นอกจากนี้ยีงมีแบรนด์สินค้าที่หลากหลาย กลุ่มพรีเซ็นเตอร์ และการร่วมงานกับดารา นางแบบ นายแบบดังทั่วโลก ทั้ง เคส มอส (Kate Moss) และ มิลลา โยโววิช (Milla Jovovich) เป็นต้น และการมีผู้บริหารที่มีความรู้ความเข้าในในเส้นทางแฟชั่นมาตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ยุคของการทำตลาดแบบเชิงรุก)
อีกหนึ่งจุดแข็งคือการ In-house Brand ที่แข็งแกร่ง กว่า 13 แบรนด์ มีจำนวนกว่า 686 สาขาทั้งในและต่างประเทศ จากสาขาของแบรนด์ในเครือทั้งหมดที่อยู่ 970 สาขา มีทีมดีไซน์เนอร์กว่า 125 คน มีการเก็บข้อมูลการซื้อ-ขาย และข้อมูลทางการตลาด มีแผนที่จะขยายทีมและพัฒนาทีมออกแบบต่อเนื่อง เพื่อสร้างแบรนด์ที่มีความหลากหลายในอนาคต
พร้อมกันนี้ยังมีการขยายตลาดในกลุ่มแบรนด์นำเข้า อย่างต่อเนื่อง โดยมองถึงศักยภาพการเติบโตของแบรนด์นั้นๆ เพื่อเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอ และรับเทรนด์ของแฟชั่นไลฟ์สไตล์ในไทย และมีแผนนำเข้าอิมพอร์ตแบรนด์ใหม่ๆต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีแผนการขยายสาขาทั้งสิ้น 81 สาขา อินเฮาท์ 60 สาขา และอิ่มพอร์ตแบรนด์ 21 สาขา
อย่างไรก็ตามปัจจุบัน JASPAL มีแบรนด์ในเครือทั้งหมด 25 แบรนด์ แบ่งเป็นธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ In-house Brand จำนวน 10 แบรนด์ ส่วนอีก 9 แบรนด์ เป็น Import Brand เช่น FRED PERRY, DIESEL, Superdry เป็นต้น 113,000 SKUs ครอบคลุมสินค้าตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางและแว่นตา เป็นต้น
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่นอนและเครื่องนอนภายใต้ In-house Brand และ Import Brand รวม 6 แบรนด์ ได้แก่ SANTAS, SANTAS HOME, STEVENS, Sealy, TEMPUR และ ETHAN ALLEN มีสินค้ามากกว่า 21,500 SKUs ภายใต้แบรนด์ SANTAS, SANTAS HOME, STEVENS, Sealy, TEMPUR และ ETHAN ALLEN
ลุยตลาดภูมิภาค สู่ผู้นำแฟชั่นและไลฟ์สไตล์เบอร์ 1 อาเซี่ยน
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ หลังขยายเข้าไปทำตลาดตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีสาขาใน กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย โดยมีสาขาในประเทศดังกล่าวแล้วกว่า 64 สาขา และมีรายได้จากต่างประเทศปี 2565 อยู่ที่ 675 ล้านบาท โดยภายในปี 2567 มีแผนจะขยายเพิ่มอีก 44 สาขา หนึ่งในนั้นเป็นการเข้าไปทำตลาดในประเทศใหม่ๆอย่าง ฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเป็นการนำแบรนด์ LYN 1 สาขาก่อน โดยมองว่าฟิลิปปินส์คือประเทศที่มีการเติบโตของจีดีพีที่ดีและพฤติกรรม รวมไปถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่สูง
“ในแต่ละตลาดที่เราขยายไปในต่างประเทศจะเริ่มต้นด้วยแบรนด์ลิน (LYN) เพราะด้วยไลน์อัพสินค้าอย่างกระเป๋า รองเท้า ที่มีราคาเข้าถึงง่าย จะทำให้ลูกค้ารู้จักและเลือกซื้อง่ายขึ้น”
ทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อขยายอาณาจักรแฟชั่นและไลฟ์สไตล์สัญชาติไทยที่มีอายุกว่า 70 ปีให้ยิ่งใหญ่ก้าวสู่ผู้นำในระดับภูมิภาคในอนาคต